คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมกับจำเลยมีเรื่องโต้เถียงท้าทายกันก่อน แล้วจำเลยเป็นฝ่ายนัดโจทก์ร่วมไปชกต่อย เมื่อถึงที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธใดติดตัวเดินเข้าหาจำเลยห่างประมาณ 1 เมตรจำเลยกลับใช้อาวุธปืนจ้องยิงบริเวณหน้าอกของโจทก์ร่วม 2 นัดโจทก์ร่วมเอี้ยวตัวหลบ กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้ายตามลำดับ พฤติการณ์ที่จำเลยสมัครใจวิวาท ท้าทาย และใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมกำลังจะทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการแสดงเจตนาฆ่า จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2527 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยมีอาวุธปืนพกสั้นและกระสุนปืน 6 นัด อันเป็นของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วพาติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงประทุษร้ายร่างกายนายสมยศ ศรีสุนทรไท ผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) โดยมีเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายมิได้ตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 91 และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แต่ปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้ลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม มีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี6 เดือน ลงโทษฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพทั้งสองฐานนี้ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 8 ปี
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกข้อหานี้ 6 ปี 8 เดือน รวมกับโทษจำคุกข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีก 6 เดือน รวมจำคุก 7 ปี 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมไปหานางสาวแก้วที่โรงแรมศรีสวรรค์ พบจำเลยอยู่กับนางสาวแก้วจึงเกิดการโต้เถียง ท้าทาย แล้วจำเลยเป็นฝ่ายนัดโจทก์ร่วมไปชกต่อยและต่างพากันขี่รถจักรยานยนต์ไปจุดเกิดเหตุห่างโรงแรมประมาณ 100 เมตร เมื่อถึงที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธใดติดตัวเดินเข้าหาจำเลยห่างประมาณ 1 เมตรจำเลยชักอาวุธปืนจ้องยิงบริเวณหน้าอกโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเอี้ยวตัวหลบไปทางขวา จำเลยยิง 2 นัด ถูกที่ต้นแขนซ้ายและขาซ้ายตามลำดับ โจทก์ร่วมล้มลงเห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยสมัครใจวิวาทท้าทายกันต่อสู้ และจำเลยชักปืนพกสั้นซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงจ้องยิงบริเวณหน้าอกโจทก์ร่วม โดยที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมกำลังจะทำร้ายจำเลยก่อนนั้นเป็นการแสดงเจตนาฆ่า จำเลยจะอ้างเหตุป้องกันตัวเองไม่ได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share