แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีเด็กผู้เยาว์ถูกทำละเมิด อันมีผลให้เด็กมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดนั้น เป็นการที่เด็กจะได้มาซึ่งทรัพย์สินอย่างหนึ่ง หากมีการประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งผู้ใช้อำนาจปกครองจะต้องทำสัญญาแทนเด็กผู้ใช้อำนาจปกครองจะต้องขออนุญาตศาลเสียก่อน เพราะเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สินของเด็ก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างขนโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เฉพาะเท่าที่ตกลงกันต่อพนักงานสอบสวน ตามบันทึกระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2511 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายต่าง ๆ ตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 1 โจทก์ขอถอนฟ้อง
คู่ความรับกันว่า จำเลยที่ 1 กับนายไข่บิดาโจทก์ ได้ตกลงกันที่สถานีตำรวจเรื่องค่าเสียหายตามบันทึกลงวันที่ 4 มีนาคม 2511แต่บิดาโจทก์กระทำโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บันทึกที่สถานีตำรวจเป็นสัญญาประนีประนอมนายไข่กระทำโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ไม่ทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยระงับ พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 19,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับความเสียหายของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งบิดาโจทก์มีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องรับอนุญาตจากศาล เพราะไม่ใช่นิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ผู้เยาว์ สัญญาผูกพันโจทก์ ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดของจำเลยที่ 1เป็นอันระงับสิ้นไป และทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างระงับสิ้นไปด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อผู้กระทำละเมิดต่อเด็ก อันมีผลให้เด็กมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนนั้น เป็นการที่เด็กจะได้มาซึ่งทรัพย์สินอย่างหนึ่ง หากมีการประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งผู้ใช้อำนาจปกครองจะต้องทำสัญญาแทนเด็ก ผู้ใช้อำนาจปกครองในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมก็ชอบที่จะต้องขออนุญาตศาลเสียก่อน เพราะเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 แต่ในเรื่องนี้นายไข่บิดาเด็กหญิงสิ้มโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 โดยลำพังโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้น หามีผลระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นโมฆะไม่นั้น และไม่มีผลผูกพันเด็กหญิงสิ้มโจทก์ประการใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหาย