แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า ในการประกาศผลสอบไล่เนติบัณฑิตยสภาสมัยที่ 14 ประจำปี พ.ศ.2504 จำเลยซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาติกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยกรรมการของจำเลยสมคบกันทุจริตในการให้คะแนนสอบปากเปล่าด้วยความลำเอียงไม่ให้คะแนนตามความรู้ ด้วยการให้คะแนนสอบปากเปล่าแก่ อ. ผู้ซึ่งสอบข้อเขียนได้เป็นอันดับ 3 สูงถึง 85 คะแนน แต่กลับให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้สอบข้อเขียนได้คะแนนสูงสุดและมีคะแนนข้อเขียนมากกว่า อ. ถึง 19 คะแนน ได้คะแนนสอบปากเปล่าเพียง 65 คะแนน ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับคะแนนสอบข้อเขียนแล้ว ทำให้โจทก์ตกไปอยู่ในอันดับ 2 และส่งผลให้ อ. ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและอับอาย ไม่เป็นที่รู้จักและไม่ได้รับการยกย่องแพร่หลายในฐานะบุคคลที่เรียนดีที่สุดในยุคนั้น ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการขอขมาโจทก์ และประกาศผลการสอบไล่ดังกล่าวเสียใหม่ว่าโจทก์เป็นผู้สอบไล่ได้เป็นอันดับ 1 มิใช่ อ. โดยให้จำเลยปิดประกาศแผ่นป้ายถาวรไว้ ณ ที่ทำการของจำเลย และแก้ไขรายการผลสอบดังกล่าวในเอกสารต่าง ๆ ด้วย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ดำเนินการโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองนั้น จะเป็นคำฟ้องที่โจทก์ได้กล่าวแสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องเพื่อสนับสนุนให้เห็นว่ากรรมการของจำเลยสมคบร่วมกันกระทำมิชอบต่อโจทก์นั้น หากมีมูลความจริง โจทก์ก็สมควรต้องรีบดำเนินการโต้แย้งหรือนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลภายในเวลาอันสมควร เพื่อให้จำเลยและบุคคลที่โจทก์กล่าวพาดพิงได้มีโอกาสชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่โจทก์ก็หาได้กระทำไม่ กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเนิ่นนานจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาประมาณ 43 ปี จนบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างสูญหายตายจากไปหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์หยิบยกเอาความรู้ความสามารถ ความสำเร็จจากการสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา และจากหน้าที่ราชการที่โจทก์ปฏิบัติมาตลอดชีวิตราชการ รวมทั้งการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ภายหลังจากการสอบเป็นเนติบัณฑิต เพื่อสนับสนุนว่าโจทก์มีความรู้โดดเด่นไม่น่าจะได้คะแนนสอบปากเปล่าน้อยกว่า อ. ก็ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการสอบปากเปล่าเป็นระยะเวลายาวนานเกือบตลอดชีวิตการทำงานของโจทก์ทั้งสิ้น หาใช่ข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้วหรือเกิดขึ้นภายในระยะเวลาใกล้เคียงวันเกิดเหตุอันจะเป็นเครื่องชี้หรือบ่งบอกถึงความรู้ความสามารถของโจทก์ในวันที่มีการสอบปากเปล่าไม่ การที่โจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานถึง 43 ปี แล้วค่อยขุดคุ้ยเอาความสำเร็จจากหน้าที่ราชการที่ได้ปฏิบัติมาจนเกือบตลอดชีวิตขึ้นกล่าวอ้างเพื่อสนับสนุนคำฟ้องว่าจำเลยดำเนินการสอบปากเปล่าโดยมิชอบเช่นนี้ พฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ปัญหาเรื่องการใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยดำเนินการประกาศขอขมาต่อโจทก์ และประกาศผลการสอบไล่ได้เนติบัณฑิตไทย สมัยที่ 14 ประจำปี 2504 เสียใหม่เป็นว่า โจทก์เป็นผู้สอบไล่ได้เป็นอันดับที่ 1 ไม่ใช่นายอัครวิทย์ โดยให้จำเลยปิดประกาศแผ่นป้ายที่ถาวรไว้ที่สำนักอบรมฯของจำเลย และแก้ไขรายการผลการสอบดังกล่าวในเอกสารต่าง ๆ ด้วย หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติ ก็ขอให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการเสียเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปความได้ว่า โจทก์ฟ้องเนติบัณฑิตยสภาจำเลยซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาติว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ในการสอบข้อเขียนของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาซึ่งเป็นหน่วยงานของจำเลย ในการสอบไล่สมัยที่ 14 ปีการศึกษา พ.ศ.2504 ซึ่งมีผู้เข้าสอบรวม 444 คน สอบผ่านข้อเขียนเพียง 19 คน โจทก์สอบข้อเขียนได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 โดยโจทก์สอบได้คะแนน 254 คะแนน จากคะแนนเต็ม 400 คะแนน ทิ้งห่างคะแนนข้อเขียน 235 คะแนน ของนายอัครวิทย์ ผู้สอบได้เป็นอันดับ 3 ถึง 19 คะแนน แต่มีการสมคบกันทุจริตในการให้คะแนนสอบปากเปล่าขึ้นในระหว่างกรรมการของจำเลยผู้ทำหน้าที่สอบปากเปล่าในลักษณะเตรียมการไว้ล่วงหน้า อันเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยความลำเอียงไม่ให้คะแนนตามความรู้ โดยให้คะแนนสอบปากเปล่าแก่นายอัครวิทย์สูงถึง 85 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดในรุ่น แต่ให้โจทก์เพียง 65 คะแนน เพราะกรรมการของจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตต้องการให้คะแนนนายอัครวิทย์มากกว่าโจทก์ถึง 20 คะแนน เพื่อว่าเมื่อนำไปรวมกับคะแนนสอบข้อเขียนแล้ว นายอัครวิทย์กลับมีคะแนนนำชนะโจทก์อยู่ 1 คะแนน ส่งผลให้นายอัครวิทย์เป็นผู้สอบไล่ได้ที่ 1 ส่วนโจทก์ตกไปอยู่อันดับ 2 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการเหยียดหยามเกียรติยศศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของโจทก์ ทำให้โจทก์อับอายไม่เป็นที่รู้จักและไม่ได้รับการยกย่องแพร่หลายในฐานะเป็นบุคคลที่เรียนดีที่สุดในยุคนั้น ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการประกาศขอขมาต่อโจทก์ และประกาศผลการสอบไล่ได้เนติบัณฑิตไทย สมัยที่ 14 ประจำปี พ.ศ.2504 เสียใหม่เป็นว่า โจทก์เป็นผู้สอบไล่ได้เป็นอันดับที่ 1 ไม่ใช่นายอัครวิทย์ โดยให้จำเลยปิดประกาศแผ่นป้ายที่ถาวรไว้ที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาของจำเลย และแก้ไขรายการผลการสอบดังกล่าวในเอกสารต่าง ๆ ด้วย หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ขอให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการเสียเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ดังนี้ เห็นว่า แม้คำฟ้องที่สรุปความดังกล่าวโจทก์จะได้กล่าวแสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติไว้แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องเพื่อสนับสนุนให้เห็นว่า กรรมการสอบปากเปล่าของจำเลยสมคบร่วมกันกระทำมิชอบต่อโจทก์โดยบรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าพระมนูเวทย์วิมลนาท บิดาของนายอัครวิทย์ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ในวันสอบปากเปล่ามีพฤติการณ์ที่แสดงออกว่าได้ร่วมมือกับกรรมการสอบปากเปล่ากระทำการโดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือให้นายอัครวิทย์สอบได้คะแนนรวมชนะโจทก์ 1 คะแนน นั้น หากมีมูลเป็นความจริงดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง โจทก์ก็สมควรที่จะต้องรีบดำเนินการโต้แย้งหรือนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลได้ภายในเวลาอันสมควร เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยและบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างพาดพิงถึงทุกคนทุกฝ่ายได้มีโอกาสชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่โจทก์ก็หาได้กระทำไม่ กลับปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยเนิ่นนานมาจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาประมาณ 43 ปี จนบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคนทุกฝ่ายต่างสูญหายตายจากไปจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนต่อมาตามคำฟ้องข้อ 7 ถึงข้อ 14 ตั้งแต่หน้า 10 จนถึงหน้า 20 โดยหยิบยกเอาความรู้ความสามารถและความสำเร็จจากหน้าที่ราชการที่โจทก์ปฏิบัติมาตลอดชีวิตราชการภายหลังจากสอบเป็นเนติบัณฑิตได้ว่า โจทก์ได้รับการคัดเลือกเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ แผนกวิชานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสอบคัดเลือกได้เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาในปี พ.ศ.2506 ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 ของรุ่น โจทก์เป็นผู้พิพากษาคนเดียวที่เป็นกรรมการอุดมการณ์ของชาติ และราชบัณฑิตยสถานคัดเลือกโจทก์ให้เป็นผู้เขียนคำอธิบายลงในสารานุกรมไทยเป็นเวลากว่า 20 ปี รวมทั้งเป็นกรรมการและประธานกรรมการยูเนสโก (UNESCO) แห่งชาติ สาขาสังคมศาสตร์ด้วย ยิ่งกว่านั้นโจทก์ยังสามารถสอบชิงทุนฟุลไบร์ทไปศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จปริญญาโททางกฎหมาย (LL.M.) นอกจากนี้ในระหว่างรับราชการเป็นผู้พิพากษาโจทก์ยังได้แสดงให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลม มีความคิดริเริ่มกว้างไกล ได้เสนอแนะให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่ราชการศาลและชาติบ้านเมืองตลอดมาจนครบเกษียณอายุราชการ หลังจากนั้นโจทก์ก็ได้รับเชิญให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความสามารถพิเศษของสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และได้ผลิตตำราวิชากฎหมายหลายสิบเล่มออกสู่วงการศึกษาวิชากฎหมาย เพื่อสนับสนุนข้ออ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีความรู้โดดเด่นไม่น่าจะได้คะแนนสอบปากเปล่าน้อยกว่านายอัครวิทย์ถึง 20 คะแนน นั้น ก็ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการสอบปากเปล่าเป็นระยะเวลายาวนานเกือบตลอดชีวิตการทำงานของโจทก์ทั้งสิ้น หาใช่ข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้วหรือเกิดขึ้นภายในระยะเวลาใกล้เคียงวันเกิดเหตุที่จะเป็นเครื่องชี้หรือบ่งบอกความรู้ความสามารถของโจทก์ในวันที่มีการสอบปากเปล่าไม่ การที่โจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานถึง 43 ปี แล้วจึงค่อยเอาความสำเร็จจากหน้าที่ราชการที่ได้ปฏิบัติมาเนิ่นนานจนเกือบตลอดชีวิตขึ้นกล่าวอ้าง เพื่อสนับสนุนคำฟ้องว่าจำเลยดำเนินการสอบปากเปล่าโดยมิชอบเช่นนี้ พฤติการณ์ส่อว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ที่บัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต” โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ และการใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเช่นนี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
เมื่อผลแห่งคำวินิจฉัยปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตและไม่มีอำนาจฟ้องเช่นนี้ คดีจึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องรับวินิจฉัยตามประเด็นที่โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขึ้นมาอีกแต่อย่างใด เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.