แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การถอนคำฟ้องภายหลังจำเลยที่ 3 ยื่นคำให้การแล้ว ป.วิ.พ. มาตรา 175 วรรคสอง (1) บัญญัติให้โจทก์เป็นผู้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น และห้ามไม่ให้ศาลให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อน ดังนี้ แม้โจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมดที่มีต่อจำเลยทั้งสามในคดีนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. ไปแล้วในระหว่างดำเนินคดีนี้ดังที่จำเลยที่ 3 อ้างก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ โจทก์ยังคงมีสถานะเป็นคู่ความในคดีเช่นเดิมและมีอำนาจดำเนินคดีเพื่อขอให้รับรอง คุ้มครอง บังคับตามสิทธิของตน โจทก์จึงมีอำนาจถอนฟ้องคดีนี้ได้
การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งนอกจากพิจารณาถึงความสุจริตในการดำเนินคดีของโจทก์แล้วยังต้องคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดีด้วย การที่โจทก์ขอถอนฟ้องเพราะโจทก์ได้โอนหนี้สินในคดีนี้ไปให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. แล้ว ย่อมมีเหตุผลและเป็นสิทธิของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริตเพื่อมุ่งเอาเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 37,028,876.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 25,607,403.34 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและรับเงินจากโจทก์ ทั้งไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันหรือสัญญาจำนองให้ไว้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆ ที่จะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างสืบพยานโจทก์ บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ ปรากฏว่าผู้ร้องมิได้นำส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยทั้งสามตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าผู้ร้องทิ้งคำร้อง ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 3 เสร็จสิ้น และนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 29 พฤษภาคม 2545
ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 ซึ่งเป็นวันก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสามโดยให้เหตุผลว่า ทนายโจทก์คนเดิมปฏิบัติงานบกพร่อง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ไล่ทนายโจทก์คนเดิมออกแล้ว ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ได้โอนหนี้สินคดีนี้ไปให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด โจทก์จึงไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า หนี้ตามฟ้องในคดีนี้ได้โอนไปเป็นของบริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้และไม่มีอำนาจขอถอนฟ้อง ทั้งโจทก์เห็นว่าพยานจำเลยสามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ การขอถอนฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสามใหม่จะทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องชอบหรือไม่ จำเลยที่ 3 ฎีกาสรุปความได้ว่าโจทก์ได้โอนหนี้คดีนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในหนี้สินตามฟ้องอีกต่อไป โจทก์ไม่มีอำนาจถอนฟ้องนั้น เห็นว่า การถอนคำฟ้องภายหลังจำเลยที่ 3 ยื่นคำให้การแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง (1) บัญญัติให้โจทก์เป็นผู้ยื่นคำขอ โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น และห้ามไม่ให้ศาลให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อน ดังนี้ แม้โจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมดที่มีต่อจำเลยทั้งสามในคดีนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ไปแล้วในระหว่างดำเนินคดีนี้ดังที่จำเลยที่ 3 อ้างก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ โจทก์ยังคงมีสถานะเป็นคู่ความในคดีเช่นเดิมและมีอำนาจดำเนินคดีเพื่อขอให้รับรอง คุ้มครอง บังคับตามสิทธิของตน โจทก์จึงมีอำนาจถอนฟ้องคดีนี้ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ขอถอนฟ้องเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินคดีของโจทก์แล้วนำคดีมาฟ้องใหม่อีก ทำให้จำเลยที่ 3 เสียเปรียบนั้น เห็นว่า การที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งนอกจากพิจารณาถึงความสุจริตในการดำเนินคดีของโจทก์แล้วยังต้องคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดีด้วย การที่โจทก์ขอถอนฟ้องเพราะโจทก์ได้โอนหนี้สินในคดีนี้ไปให้บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด แล้ว ย่อมมีเหตุผลและเป็นสิทธิของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริตเพื่อมุ่งเอาเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด ส่วนเหตุที่จำเลยที่ 3 ยกขึ้นอ้างมาดังกล่าว เป็นเพียงความคิดเห็นหรือความเข้าใจของจำเลยที่ 3 เอง ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ