คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20,000 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เมทแอมเฟตามีน 20,061 เม็ด ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่หลังจากที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20,000 เม็ด เสร็จสิ้นไปแล้ว จำเลยทั้งสองยังร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการจำหน่ายอีก 61 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายต่อไป จึงเป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นใหม่แยกต่างหากจากกัน คือฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนฐานหนึ่งและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทให้ถูกต้อง แต่ไม่อาจลงโทษอีกกรรมหนึ่งได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษแก่จำเลยทั้งสองโดยโจทก์ไม่ได้ฎีกา ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 212 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มีคำขอให้ริบรถยนต์และลูกกุญแจรถยนต์ของกลางซึ่งศาลชั้นต้นยกคำขอของโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องการริบของกลางดังกล่าวย่อมยุติ จึงต้องคืนของกลางแก่เจ้าของตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ประกอบ มาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ริบเมทแอมเฟตามีน รถยนต์ กล่องกระดาษ โทรศัพท์เคลื่อนที่และลูกกุญแจรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยที่ 2 กลับคำให้การเป็นให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง 66 วรรคสอง 102 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียวกัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน กล่องกระดาษและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20,000 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 20,061 เม็ด ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จะเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เพราะเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกัน แต่หลังจากที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20,000 เม็ด เสร็จสิ้นไปแล้ว การที่จำเลยทั้งสองยังร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการจำหน่าย 61 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายต่อไปอีก เป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นใหม่แยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นความผิดสองกรรม ไม่ใช่ความผิดกรรมเดียวดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขปรับบทให้ถูกต้องได้ แต่มิอาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 61 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสองโดยโจทก์มิได้ฎีกา และปรากฏว่าหลังจากจำเลยทั้งสองกระทำความผิดได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่บทความผิดตามมาตรา 15 เงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงต้องใช้กฎหมายเดิมบังคับ สำหรับบทกำหนดโทษความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ในส่วนเมทแอมเฟตามีนของกลาง 20,061 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 272.199 กรัม มาตรา 66 วรรคสาม ที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ ส่วนความผิดฐานร่วมกันจำเลยเมทแอมเฟตามีนในส่วน 20,000 เม็ด ของกลาง และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายต่อไปอีก 61 เม็ด ของกลางที่เหลือ ไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสองจำนวนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีจึงต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเช่นกัน ศาลฎีกามีอำนาจขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง สำหรับรถยนต์และลูกกุญแจรถยนต์ของกลางนั้นศาลชั้นต้นยกคำขอให้ริบแล้ว ไม่ว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้จะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องของกลางส่วนนี้ย่อมยุติและต้องคืนแก่เจ้าของ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กระทงหนึ่ง กับมีความผิดตามมาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) และมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 อีกกระทงหนึ่ง คืนรถยนต์และลูกกุญแจรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5.

Share