คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้อ. เป็นตัวแทนในการขายที่ดินของจำเลยและอ.ในฐานะตัวแทนของจำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าเป็นการชัดเจนเพียงพอแก่การที่จำเลยจะต่อสู้คดีโจทก์ได้แล้วการที่โจทก์ไม่ได้เสนอใบมอบอำนาจมาด้วยก็หาทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาเพราะจำเลยสามารถให้การต่อสู้คดีได้ว่าตนมอบอำนาจให้อ.ทำการได้เพียงใดซึ่งอาจนำสืบรายละเอียดได้ชั้นพิจารณาไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4024 นายเอนก ค้ำพันธุ์ ผู้รับมอบอำนาจให้ขายที่ดินดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองได้ตกลงกับโจทก์ว่า หากโจทก์สามารถแนะนำชี้ช่องให้บุคคลใดมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้จะให้ค่านายหน้าในอัตราร้อยละ 5 ของราคาขายที่แท้จริง โดยนายเอนกและโจทก์มีสิทธิได้รับค่านายหน้าคนละครึ่ง กำหนดชำระค่านายหน้าในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขาย ต่อมาโจทก์ได้จัดการให้นายอุดมดีรุ่งโรจน์ เข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวในราคา 18,549,000บาท และได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 17 เมษายน2532 โจทก์มีสิทธิได้รับค่านายหน้าเป็นเงิน 463,725 บาท แต่จำเลยทั้งสองชำระให้โจทก์เพียง 180,000 บาท คงค้างชำระอยู่จำนวน283,725 บาท โจทก์ทวงถาม แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 283,725 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 เมษายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า นายเอนก ค้ำพันธ์ุเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยทั้งสอง แต่ไม่มีเอกสารมาแสดงประกอบและมิได้บรรยายว่าจำเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับโจทก์ที่ทำให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม จำเลยทั้งสองไม่เคยมอบอำนาจให้นายเอนกไปทำความตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าและให้ค่าบำเหน็จแก่โจทก์ หากนายเอนกไปตกลงเรื่องค่านายหน้ากับผู้ใด ก็ไม่เกินอัตราร้อยละ 2 ของราคาที่ซื้อขายกัน และจำเลยทั้งสองได้ขายที่ดินไปในราคา 5,140,267 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน283,725 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 17 เมษายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 10,639 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับโจทก์ที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระค่านายหน้าให้โจทก์และโจทก์ก็ไม่มีเอกสารใด ๆ มาแสดงประกอบว่านายเอนก ค้ำพันธ์ุเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยทั้งสองให้ทำกิจการใดบ้าง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่านายเอนก ค้ำพันธ์ุผู้รับมอบอำนาจในการขายที่ดินจากจำเลยทั้งสองได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยทั้งสองต่อมาโจทก์ชี้ช่องให้มีผู้ทำสัญญาซื้อที่ดินสำเร็จตามสัญญาแล้ว จำเลยทั้งสองชำระค่านายหน้าให้โจทก์ไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่านายหน้าที่ค้าง ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้มอบอำนาจให้นายเอนกเป็นตัวแทนในการขายที่ดินของจำเลยทั้งสองและนายเอนกในฐานะตัวแทนทั้งสองและนายเอนกในฐานะตัวแทนของจำเลยทั้งสองได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าเป็นการชัดเจนเพียงพอแก่การที่จำเลยทั้งสองจะต่อสู้คดีโจทก์ได้แล้วการที่โจทก์ไม่ได้เสนอใบมอบอำนาจมาด้วย ก็หาทำให้จำเลยทั้งสองไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา เพราะจำเลยทั้งสองสามารถให้การต่อสู้คดีได้ว่าตนมอบอำนาจให้นายเอนกทำการได้เพียงใด ซึ่งอาจนำสืบรายละเอียดได้ชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด และวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองขายที่ดินพิพาทในราคา 18,549,000 บาท ซึ่งเมื่อตกลงค่านายหน้าในอัตราร้อยละ 5 ของราคาที่ดิน จึงเป็นเงินค่านายหน้าทิ้งสิ้นจำนวน 927,450 บาท โจทก์มีสิทธิได้ค่านายหน้าครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 463,725 บาท ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองชำระค่านายหน้าให้โจทก์เพียง 180,000 บาท จึงค้างชำระค่านายหน้าโจทก์อยู่อีก283,725 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share