แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ในคดีแพ่งไปแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกอ้างว่ายังคัดคำพิพากษาไม่แล้วเสร็จโดยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน ครั้งที่สองอ้างว่า ค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์จำเลยที่ 2 จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเบิกจ่ายจึงขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก30 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาต ซึ่งเท่ากับว่าศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษ และระยะเวลานับแต่จำเลยทราบคำพิพากษาศาลชั้นต้นจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตเป็นเวลานานถึง 64 วัน ซึ่งเป็นเวลาอันสมควรที่จำเลยจะเบิกจ่ายเงินดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีกเป็นครั้งที่สามโดยมิได้อ้างเหตุพฤติการณ์พิเศษ คงอ้างแต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 ยังมิได้ส่งเงินดังกล่าวมายังพนักงานอัยการทนายจำเลยที่ 2 เท่านั้น ซึ่งมิใช่พฤติการณ์พิเศษ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงิน๑,๐๐๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินแต่ไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๘,๐๐๐ บาท ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียม ส่วนของจำเลยที่ ๑ ให้เป็นพับ และได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฟังเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ ครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๑ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก ๓๐ วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปถึงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ ต่อมาวันที่ ๒๒มกราคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก ๓๐ วันนับแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปถึงวันที่ ๖กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ครั้นวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาออกไปอีก ๑๕ วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ข้ออ้างตามคำร้องถือไม่ได้ว่า มีพฤติการณ์พิเศษให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ข้ออ้างตามคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑เป็นพฤติการณ์พิเศษ เนื่องจากโดยระเบียบและทางปฏิบัติของส่วนราชการที่เป็นจำเลยเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วพนักงานอัยการซึ่งเป็นทนายความของส่วนราชการจะต้องแจ้งความเห็นไปยังส่วนราชการว่าควรจะอุทธรณ์หรือไม่ หากส่วนราชการประสงค์จะอุทธรณ์ก็ต้องแจ้งความเห็นพร้อมส่งเงินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายมายังสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นเช็คสั่งจ่ายศาลที่จะทำการยื่นอุทธรณ์ซึ่งมีขั้นตอนมาก ย่อมต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรนั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปแล้วถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกอ้างว่ายังคัดคำพิพากษาไม่แล้วเสร็จโดยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก ๓๐ วัน ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปถึงวันที่๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ ครั้งที่สองอ้างว่า ค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์จำเลยที่ ๒ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเบิกจ่ายจึงขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก๓๐ วัน ศาลชั้นต้นก็อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปจนถึงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์๒๕๔๑ ซึ่งเท่ากับว่าศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษ และระยะเวลานับแต่จำเลยที่ ๒ ทราบคำพิพากษาศาลชั้นต้นจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตเป็นเวลานานถึง ๖๔ วัน ซึ่งเป็นเวลาอันสมควรที่จำเลยที่ ๒ จะเบิกจ่ายเงินดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ ๒ กลับยื่นคำร้องลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีกโดยมิได้อ้างเหตุพฤติการณ์พิเศษอย่างใดอีก คงอ้างแต่เพียงว่า จำเลยที่ ๒ ยังมิได้ส่งเงินดังกล่าวมายังพนักงานอัยการทนายจำเลยที่ ๒เท่านั้น ซึ่งมิใช่พฤติการณ์พิเศษ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ ๒ นั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน.