คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 บรรยายฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ซื้อที่พิพาทแทนโจทก์ แต่ซื้อในนามของตนเอง ที่พิพาทจึงเป็นของจำเลยทั้งสองได้ให้โจทก์และครอบครัวอยู่อาศัยและทำประโยชน์เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองแสดงเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 จึงไม่ประสงค์ให้โจทก์และครอบครัวอยู่ในที่พิพาทตลอดไป ขอให้บังคับโจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท ดังนี้ คำฟ้องแย้งแม้จะรวมมาในคำให้การ แต่ก็สามารถแยกแยะได้ว่าตอนไหนเป็นคำให้การตอนไหนเป็นคำฟ้องแย้งคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172แล้ว คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 เป็นบุตรเขยของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่บุพการีของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรสาวโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นสามีฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นสินสมรสได้ ก็ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีด้วย เพราะจำเลยที่ 2 ฟ้องคดีในนามของตนเองไม่ได้ฟ้องแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 จำเลยที่ 2 มีอำนาจฟ้องแย้ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ซื้อที่พิพาทและรับโอนแทนโจทก์ โดยตกลงว่าหากโจทก์นำเงินมาคืนแก่จำเลยทั้งสองเมื่อใด จำเลยทั้งสองจะโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองโอนที่พิพาทแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปถอนชื่อออกจากโฉนดที่พิพาทและใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้โจทก์ใส่ชื่อในโฉนดได้ฝ่ายเดียวให้จำเลยทั้งสองรับเงิน 36,000 บาท คืนจากโจทก์ และส่งมอบโฉนดหรือใบแทนโฉนดคืนแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองไม่ได้ซื้อที่พิพาทและรับโอนไว้แทนโจทก์ การฟ้องของโจทก์เป็นปฏิปักษ์ต่อสิทธิในที่พิพาท จำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ให้โจทก์และครอบครัวอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป ขอให้ยกฟ้องโจทก์ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมทั้งเป็นคดีอุทลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 2 บรรยายฟ้องแย้งโดยระบุว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ซื้อที่พิพาทแทนโจทก์แต่ซื้อในนามของตนเอง ที่พิพาทจึงเป็นของจำเลยทั้งสอง ได้ให้โจทก์และครอบครัวอยู่อาศัยและทำประโยชน์เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง แสดงเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลยทั้งสองจำเลยที่ 2 จึงไม่ประสงค์ให้โจทก์และครอบครัวอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในที่พิพาทตลอดไป ขอให้บังคับโจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท ดังนี้ คำฟ้องแย้งแม้จะรวมมาในคำให้การ แต่ก็สามารถแยกแยะได้ว่าตอนไหนเป็นคำให้การตอนไหนเป็นคำฟ้องแย้งคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรเขยของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่บุพการีของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรสาวโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นสามีฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นสินสมรสได้ก็ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีด้วย เพราะจำเลยที่ 2 ฟ้องคดีในนามของตนเอง ไม่ได้ฟ้องแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 จำเลยที่ 2 มีอำนาจฟ้องแย้ง
พิพากษายืน

Share