แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การให้ความยินยอมหญิงมีสามีฟ้องคดีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 บัญญัติให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องนำสามีผู้ให้ความยินยอมมาเบิกความอีก และสามีโจทก์ก็เป็นทนายความให้โจทก์อยู่แล้ว จึงไม่ทำให้ความสามารถในการดำเนินคดีของโจทก์บกพร่อง.(ที่มา-เนติ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บ้านพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จะให้ผู้อื่นเช่า แต่จำเลยขัดขวางอ้างว่าบ้านเป็นของจำเลย ขอบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 600 บาท เป็นเวลา 11 เดือน เป็นเงิน6,600 บาท และห้ามเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาท จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านพิพาท ได้เคยให้โจทก์พักอาศัยชั่วคราวต่อมาโจทก์ย้ายไปรับราชการที่อื่น จำเลยจึงเข้าครอบครองบ้านพิพาทอยู่จนบัดนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นโจทก์ พิพากษากลับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 6,600 บาท และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า บ้านพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์เสียหายเดือนละ 400 บาท และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า’ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามีมิได้นำสามีมาเบิกความประกอบหนังสือให้ความยินยอมในการฟ้องคดี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56บัญญัติให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนความเท่านั้นไม่จำเป็นต้องนำสามีผู้ให้ความยินยอมมาเบิกความอีกและสามีโจทก์ก็เป็นทนายความให้โจทก์อยู่แล้วจึงไม่ทำให้ความสามารถในการดำเนินคดีของโจทก์บกพร่องฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นเว้นแต่เฉพาะค่าเสียหายฟังขึ้นบางส่วน’
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 4,400บาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.