แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กู้เงินมาลงทุนเพื่อประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว จึงเป็นหนี้ของจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน สวนพิพาทไม่ว่าจะเป็นสินสมรสหรือสินเดิม จึงเป็นสินบริคณห์ที่โจทก์นำยึดใช้หนี้ได้ทั้งสิ้น
โจทก์มิใช้อิสลามศาสนิก จะบังคับคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ฯลฯ พ.ศ. 2489 มาตรา 3 มิได้
ย่อยาว
จำเลยยอมความใช้เงินตามสัญญากู้ให้โจทก์ จำเลยไม่ใช้ โจทก์นำยึดสวนยาง ๑ แปลง ผู้ร้องร้องว่าไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นของผู้ร้อง ฯลฯ ขอให้สั่งปล่อยที่พิพาท
โจทก์ให้การว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง หนี้ระหว่างผู้ร้องจำเลยเป็นสามีภริยากันผูกพันสินบริคณห์ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องใช้เงินลงทุนในการเข้าหุ้นกับสามีโจทก์ซื้อรถยนต์มาใช้รับจ้าง การที่จำเลยออกทำงานขับรถยนต์คันนี้ด้วย แสดงว่าการขับรถยนต์รับจ้างของจำเลยเป็นอาชีพหลักของครอบครัว ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะต้องนำผลประโยชน์รายได้มาใช้จ่ายในครอบครัวร่วมกับผู้ร้อง เป็นการกู้เงินมาลงทุนเพื่อประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วมของจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากันและอยู่กินร่วมกันตลอดมา เมื่อหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วม ผู้ร้องจึงต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์
สวนพิพาทมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ซื้อเมื่อปี ๒๔๙๖ ไม่ว่าจะเป็นสินสมรสหรือเป็นสินเดิมของผู้ร้องเป็นสินบริคณห์ที่โจทก์นำยึดใช้หนี้รายนี้ได้ทั้งสิ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสวนพิพาทจะเป็นสินเดิมของผู้ร้องดังอ้างหรือไม่
นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิใช่อิสลามศาสนิก จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้ผู้ร้องจะได้หย่าขาดจากจำเลยแล้วหรือไม่ก็ตาม หนี้สินเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลย ผู้ร้องจึงขอให้ปล่อยการยึดสวนพิพาทไม่ได้
พิพากษายืน