คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1896/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะจำเลยถูกจับกุมและศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางส. ผู้เช่าซื้อยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบกรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางจึงยังเป็นของผู้ร้องอยู่การที่รถยนต์บรรทุกของกลางถูกศาลสั่งริบย่อมทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายเพราะอาจจะไม่สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากส. ได้อีกดังนั้นจะถือว่าการที่ผู้ร้องมาร้องขอของกลางคืนเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของส.ผู้เช่าซื้อจึงไม่ถูกต้องเพราะผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียร่วมอยู่ด้วยส่วนการที่ผู้ร้องจะมอบอำนาจให้บุคคลใดเป็นผู้ดำเนินคดีแทนนั้นก็เป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำได้และการที่ผู้รับมอบอำนาจ>จากผู้ร้องจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลยอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้รับมอบอำนาจเท่านั้นหามีผลถึงผู้ร้องด้วยไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 3, 8, 61, 73ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และขอให้ริบของกลางศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุก 2 เดือน และปรับ 3,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และให้ริบรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-4474 หนองคาย ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันและเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-4474 หนองคาย ของกลางซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 5,072 กิโลกรัม ไปตามทางหลวงแผ่นดิน จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและส่งฟ้องต่อศาล ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยและมีคำสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกของกลางหรือไม่ ข้อนี้ผู้ร้องมีหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถเอกสารหมาย ร.3 มาเป็นหลักฐานว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกของกลาง ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น และตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.4นายเสน มูลทิพย์ ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้องจนครบ 48 งวด เสียก่อน นายเสนจึงจะได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางไป แต่ปรากฏว่า นับตั้งแต่วันเริ่มต้นชำระงวดแรกในวันที่ 29 ธันวาคม 2533 จนถึงวันที่จำเลยถูกจับกุมในวันที่ 11 สิงหาคม 2537 เป็นเวลาเพียง 44 เดือนเท่านั้นดังนั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางจึงยังเป็นของผู้ร้องที่โจทก์ฎีกาว่าในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ร้องไม่ได้แสดงตนและเอกสารต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง จึงเป็นพฤติการณ์ที่บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกของกลางนั้นเห็นว่าในการทำสัญญาเช่าซื้อนั้น ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าซื้อไปครอบครองดูแลและใช้สอย ดังนั้น การที่จำเลยนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปใช้กระทำผิดแล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดังกล่าว ผู้ร้องอาจจะไม่ทราบเรื่องก็ได้ การที่ผู้ร้องไม่ได้ไปแสดงตนหรือเอกสารต่อเจ้าพนักงานตำรวจในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกของกลาง จึงไม่เป็นการผิดปกติแต่อย่างใดพยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกของกลาง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปมีว่าการที่ผู้ร้องมอบอำนาจให้นายเสนผู้เช่าซื้อมาร้องขอคืนของกลางเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของนายเสนซึ่งโจทก์เชื่อว่ารู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ เห็นว่า ขณะจำเลยถูกจับกุมและศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนายเสนผู้เช่าซื้อยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางจึงยังเป็นของผู้ร้องอยู่ การที่รถยนต์บรรทุกของกลางถูกศาลสั่งริบดังกล่าวย่อมทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย เพราะอาจจะไม่สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากนายเสนผู้เช่าซื้อได้อีก ดังนั้น จะถือว่าการที่ผู้ร้องมาร้องขอคืนของกลาง เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของนายเสนผู้เช่าซื้อ ไม่น่าเป็นการถูกต้อง เพราะผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียร่วมอยู่ด้วย ส่วนการที่ผู้ร้องจะมอบอำนาจให้บุคคลใดเป็นผู้ดำเนินคดีแทนนั้น ก็เป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำได้และการที่ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลยอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้รับมอบอำนาจเท่านั้น หามีผลถึงผู้ร้องด้วยไม่ พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้ว่าการที่ผู้ร้องมอบอำนาจให้นายเสนผู้เช่าซื้อมาร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบด้วยเหตุผลและต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share