แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์จัดให้มีบริการโทรศัพท์และเรียกเก็บเงินประกอบธุรกิจใช้บริการโทรศัพท์ถือว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้น สิทธิเรียกร้องค่าใช้บริการโทรศัพท์ของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า2 ปี นับแต่วันที่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2519 โจทก์กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยตกลงร่วมมือกันให้บริการโทรศัพท์ติดต่อต่างประเทศจากเครื่องโทรศัพท์ของผู้เช่าเลขหมายโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยผ่านชุมสายระหว่างประเทศของโจทก์และโจทก์จะเรียกเก็บเงินจากผู้เช่าโทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวที่ใช้บริการตามอัตราค่าใช้บริการที่โจทก์กำหนดไว้จำเลยเป็นผู้เช่าเครื่องโทรศัพท์หมายเลข 2-5362717 จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2537 ถึงวันที่ 14 เมษายน 2537 มีการใช้บริการโทรศัพท์เครื่องหมายเลข 2-5362717 เรียกจากประเทศไทยไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์และประเทศอื่น ๆ รวมเป็นเงินค่าใช้บริการจำนวน 26,411.70 บาท โจทก์เรียกเก็บเงินค่าใช้บริการดังกล่าวจากจำเลยผู้เช่าเครื่องโทรศัพท์แล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 26,411.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยโอนเครื่องโทรศัพท์ที่เช่าให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว จำเลยไม่ใช่ผู้เช่าโทรศัพท์หมายเลข 2-5362717 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าใช้บริการโจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนดเวลา 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 26,411.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 233 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า คำให้การของจำเลยได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น อันจะเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยแล้วหรือไม่ คดีนี้ตามคำให้การของจำเลยบรรยายว่า “โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี จึงขาดอายุความเพราะตามกฎหมายการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเช่าและค่าบริการต้องดำเนินการภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ 30 กุมภาพันธ์253 ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีวันที่10 สิงหาคม 2542 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ” เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์เป็นเงินจำนวน 26,411.70 บาท โดยโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 8 ซึ่งมีกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ที่ลงในหนังสือทวงถาม ซึ่งตามกำหนดเวลาตามที่ทวงถามวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันแรกที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องวันที่ 30กุมภาพันธ์ 253 ถึงวันฟ้องวันที่ 10 สิงหาคม 2542 คำให้การจำเลยถือได้ว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งถึงเหตุผลในการที่จำเลยไม่ต้องชำระเงินให้แก่โจทก์แล้วว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ไม่ได้เรียกให้จำเลยชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 2 ปีนับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้และตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่โจทก์ทวงถามอันแสดงว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องบังคับให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ได้นับแต่วันที่ครบกำหนดดังกล่าวคือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไป ดังนั้น แม้คำให้การของจำเลยจะระบุวันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ผิดไป โดยระบุว่าเริ่มนับแต่วันที่ 30 กุมภาพันธ์253 ก็ตาม แต่จำเลยก็ได้ระบุไว้ด้วยว่านับแต่วันที่ระบุดังกล่าวถึงวันฟ้องวันที่ 10สิงหาคม 2542 เกินกำหนดเวลา 2 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว จึงเป็นเรื่องที่มองเห็นเจตนาของจำเลยได้ว่า จำเลยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความเมื่อใดนับแต่วันใดถึงวันฟ้อง การที่จำเลยมิได้ลงเลข พ.ศ. ให้ครบถ้วน ก็อาจเนื่องมาจากความผิดพลาดเผลอเรอของจำเลยที่พิมพ์ตัวเลข พ.ศ. ตกหล่นไปมากกว่าเมื่อพิจารณาคำให้การของจำเลยประกอบคำฟ้องของโจทก์ทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว พออนุมานได้ว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องนับแต่วันใดและนับแต่วันดังกล่าวถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว คำให้การของจำเลยถือได้ว่าได้กล่าวถึงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏไว้ จึงเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง และมีประเด็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคำให้การจำเลยไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นเรื่องอายุความนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นและเมื่อพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยอีก ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า เมื่อจำเลยค้างชำระค่าใช้บริการโทรศัพท์ติดต่อระหว่างประเทศ โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามตามเอกสารหมาย จ.8 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2538 ให้ชำระค่าใช้บริการภายใน 7 วัน จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 เมื่อนับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์2538 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการแก่โจทก์จนถึงวันฟ้องจึงเกินกำหนดระยะเวลา 2 ปี และจากคำเบิกความของพยานโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยเกิน 2 ปี จริง การที่โจทก์จัดให้มีบริการโทรศัพท์และเรียกเก็บเงินประกอบธุรกิจใช้บริการโทรศัพท์ถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้น สิทธิเรียกร้องค่าใช้บริการโทรศัพท์ของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่าระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง