คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1890/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้บ้านพิพาทซึ่งจำเลยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลจะปลูกอยู่ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทนั้นโจทก์ได้ทำสัญญาแบ่งขายให้ ล. และยินยอมให้ ล. เข้าไปปลูกบ้านพิพาท ต่อมาโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมรับชำระราคาที่ดินจากล. ล.จึงฟ้องให้โจทก์รับชำระราคาและโอนที่ดินให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา ก่อนที่จำเลยจะซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาด ล. ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินที่ซื้อมาจากโจทก์ให้จำเลยและล. จะไปทำการโอนให้แก่ จำเลยเมื่อได้รับโอนจากโจทก์แล้ว ซึ่งโจทก์ก็ทราบและ เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดบ้านพิพาทด้วย เมื่อโจทก์ซื้อบ้านพิพาทไม่ได้จึงกลั่นแกล้งนำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนี้ หากเป็นความจริงดังที่จำเลยต่อสู้ การที่ ล. กับ ส. จำเลยใน คดีที่ถูกยึดทรัพย์ปลูกบ้านพิพาทลงในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการปลูกบ้านโดยมีสิทธิ หากในที่สุดโจทก์แพ้คดี ล. โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยรื้อบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินดังกล่าว และจำเลยย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้กับ ล. ถ้าโจทก์รู้ความเช่นนี้แต่ ยังมาชิงฟ้องขับไล่จำเลยเสียก่อน เพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหาย ก็อาจ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตได้จึงสมควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อบ้านที่ปลูกอยู่ที่ดินของโจทก์ได้จากการขายทอดตลาดแล้วมิได้รื้อถอนบ้านออกไป เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโจทก์และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า ที่ดินที่ปลูกบ้านโจทก์ได้ทำสัญญาแบ่งขายให้แก่นายเลาบุญเสก แล้วจำยอมให้นายเลาเข้าไปปลูกบ้านได้ ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านองนายเลามาขายทอดตลาด จำเลยเป็นผู้ซื้อได้ นายเลาได้ผ่อนชำระราคาที่ดินให้โจทก์ตลอดมา แล้วโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมรับชำระค่าที่ดินจากนายเลา นายเลาจึงฟ้องโจทก์ให้รับชำระค่าที่ดิน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาก่อนที่จำเลยจะซื้อบ้าน นายเลาได้ทำสัญญาจะขายที่ดินที่ซื้อจากโจทก์ให้แก่จำเลยและตกลงกับจำเลยว่าเมื่อได้รับโอนที่ดินมาจากโจทก์แล้ว นายเลาจะทำการโอนให้จำเลย โจทก์ทราบดีและไปสู้ราคาด้วย เมื่อโจทก์ซื้อบ้านไม่ได้จึงหาทางกลั่นแกล้งจำเลย โดยไม่ยอมโอนที่ดินให้นายเลาและฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อบ้านออกไป การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ในวันชี้สองสถาน โจทก์แถลงว่าจำเลยให้การรับว่าที่ดินเป็นของโจทก์และขายให้นายเลาแต่ยังไม่ได้โอนกัน โจทก์ไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24จำเลยแถลงว่าโจทก์ใช้สิทธินำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยให้การว่าบ้านพิพาทซึ่งจำเลยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 12172 ของโจทก์ แต่ที่ดินแปลงนี้โจทก์ได้ทำสัญญาแบ่งขายให้นายเลาเป็นเงิน 30,000 บาท โดยผ่อนส่งให้โจทก์เดือนละ 300 บาท เมื่อโจทก์ได้ทำสัญญากับนายเลาแล้ว โจทก์ยินยอมให้นายเลาเข้าไปปลูกบ้านพิพาทคือบ้านที่จำเลยซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลในที่ดินแปลงนี้ บ้านพิพาทนี้จำเลยอ้างว่านายเลากับนางสมจิตต์ คนดี ภรรยาของนายเลาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และเป็นจำเลยในคดีที่ถูกยึดทรัพย์เป็นเจ้าของร่วมกันและในคดีที่นายเลาร้องขัดทรัพย์ ศาลพิพากษาให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดบ้านพิพาทให้นายเลากึ่งหนึ่ง ที่โจทก์ทำสัญญาขายที่ดินให้แก่นายเลานั้น โจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมรับชำระราคาที่ดินจากนายเลา นายเลาจึงต้องฟ้องศาลให้โจทก์รับชำระราคาที่ดิน และโอนที่ดินให้นายเลา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา (ในฎีกาของจำเลยอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์โอนที่ดินให้แก่นายเลาตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ 2451/2525 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา และกล่าวในคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าบ้านพิพาทปลูกครึ่งตึกครึ่งไม้) ก่อนที่จำเลยจะซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลนายเลาได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่นายเลาซื้อจากโจทก์ให้แก่จำเลย และตกลงกันว่าเมื่อนายเลาได้รับโอนที่ดินจากโจทก์ แล้วนายเลาจะไปทำการโอนที่ดินให้แก่จำเลย ซึ่งโจทก์ก็ทราบ เห็นว่าหากเป็นความจริงดังที่จำเลยให้การต่อสู้ การที่นายเลากับนางสมจิตต์จำเลยในคดีที่ถูกยึดทรัพย์ปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์ จึงมิใช่เป็นการปลูกบ้านโดยไม่มีสิทธิ แต่เป็นการปลูกโดยมีสิทธิเพราะโจทก์ได้ทำสัญญาให้แก่นายเลา และนายเลาได้ฟ้องโจทก์ให้โอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่นายเลา หากในที่สุดโจทก์แพ้คดีนายเลา โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยรื้อบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินดังกล่าว และจำเลยย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้กับนายเลา ถ้าโจทก์รู้ความเช่นนี้แต่ยังมาชิงฟ้องขับไล่จำเลยเสียก่อน เพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหายก็อาจเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตได้ จึงสมควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตลอดจนคำสั่งที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share