คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 189/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์โดยแบ่งความรับผิดให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงหนึ่งในสามส่วน โจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คัดค้าน คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคนละครึ่ง เมื่อหนี้ดังกล่าวศาลแบ่งความรับผิดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงมิใช่การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 โดยเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเพิ่มมากขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลกับจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์จึงจะขอให้ออกคำบังคับเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 ครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ในทางการที่จ้างด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน รถยนต์ของจำเลยที่ 1 เลยไปชนบ้านโจทก์และทรัพย์สินเสียหาย โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 68,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 1 รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ 2รับผิดหนึ่งในสามส่วน จำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าตามรูปคดีจำเลยทั้งสองควรรับผิดในความเสียหายเป็นอัตราส่วนเท่ากัน กรณีเป็นการชำระหนี้ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องร่วมรับผิด และไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 2ซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ด้วย พิพากษาแก้ลดจำนวนค่าเสียหายคงเหลือ 58,000 บาทลดค่าเช่าบ้านเหลือเดือนละ 500 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะ โดยให้จำเลยทั้งสองรับผิดคนละครึ่งทุกกรณี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้เช่าบ้าน จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยกับค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับสั่งให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา

จำเลยที่ 2 รับคำบังคับแล้วยื่นคำร้องว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ระงับ

ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับอันถึงที่สุด ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยแบ่งความรับผิดให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงหนึ่งส่วนในสามส่วน โจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คัดค้านแต่อย่างใด คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดคนละครึ่งทุกกรณี โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้น เห็นว่าหนี้ดังกล่าวศาลแบ่งความรับผิดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงไม่ใช่การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ทั้งศาลอุทธรณ์ก็ไม่ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นอันจะเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 แต่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์กลับเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 โดยเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเพิ่มมากขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าคำพิพากษายืน แต่ก็มีประเด็นในชั้นฎีกาเฉพาะเรื่องค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียมเท่านั้น มิได้มีประเด็นในเรื่องการแบ่งความรับผิดในความเสียหายระหว่างจำเลยทั้งสอง เมื่อคดีนี้โจทก์ยอมรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจากจำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้ว และโจทก์ก็มิได้ติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้น โจทก์จึงจะขอให้ออกคำบังคับเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 ครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 อีกต่อไปเพิกถอนคำบังคับที่บังคับจำเลยที่ 2 ให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับลงวันที่ 19 มิถุนายน 2523 นั้นเสีย

Share