แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าโจทก์เลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมขอให้จ่ายค่าเสียหาย ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าการที่โจทก์เลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และโจทก์จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมจ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่ง ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หลังจากนั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 อีก ดังนี้ การที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องจากโจทก์อีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างของโจทก์แล้ว ไม่สมควรให้โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อีก ศาลย่อมพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เสีย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1 ด้วยเหตุเกษียณอายุจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 2ถึงที่ 14 กล่าวหาว่าการที่โจทก์เลิกจ้างเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ให้จ่ายค่าเสียหาย ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ต่อศาลแรงงานกลางกล่าวหาว่าโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมเรียกค่าเสียหาย แต่คดีตกลงกันได้ โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล โจทก์ยอมชำระเงิน 5,000 บาท และจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องจากโจทก์อีก หลังจากนั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 2 ถึงที่ 14 มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1เป็นเงิน 31,000 บาท ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะเมื่อโจทก์จำเลยที่ 1 ได้ตกลงประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ที่ได้ร้องไว้ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ย่อมระงับไปด้วย ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 14 และให้จำเลยที่ 1ถอนคำร้องที่ยื่นไว้ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เคยฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางและได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมต่อหน้าศาลจริง แต่จำเลยที่ 1ยืนยันแล้วว่าจะไม่ถอนคำร้องที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งโจทก์ทราบและตกลงด้วยแล้ว
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 14 ให้การว่า คดีก่อนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกค่าเสียหายและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไม่ทำให้สิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะได้รับค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมระงับสิ้นไปเพราะเป็นคนละส่วนกัน เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายคนละฉบับ ทั้งตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 สละสิทธิไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 14 จึงไม่จำต้องยกประเด็นนี้ขึ้นวินิจฉัย
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าเดิมจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม2529 โดยโจทก์อ้างว่าครบเกษียณอายุและจำเลยที่ 1 ได้รับค่าชดเชยไปแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า โจทก์กระทำการอันไม่เป็นธรรม เลิกจ้างจำเลยที่ 1 ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ ขอให้จ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน53,280 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแรงงานกลาง กล่าวหาว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1โดยมิได้กระทำความผิด ซึ่งเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 53,280 บาท และเงินโบนัส 6,660 บาทวันที่ 6 มีนาคม 2530 โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน5,000 บาท และจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องจากโจทก์อีก ศาลพิพากษาตามยอม ต่อมาคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 2 ถึงที่14 มีคำสั่งที่ 20/2530 ให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1เป็นเงิน 31,000 บาท โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 20/2530 นั้นเสีย เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 2ถึงที่ 14 ว่า โจทก์กระทำการอันไม่เป็นธรรม เลิกจ้างจำเลยที่ 1ขอให้จ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 53,280 บาทโดยอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 และต่อมาจำเลยที่1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแรงงานกลาง กล่าวหาว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1 โดยไม่เป็นธรรม เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 53,280 บาทและเงินโบนัส 6,660 บาทโดยอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 นั้นมีมูลฐานมาจากการที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1 ในคราวเดียวกันนั้นเอง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ต่อศาลแรงงานกลางนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 5,000 บาท และจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องจากโจทก์อีกศาลพิพากษาตามยอมดังปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 837/2530 ของศาลแรงงานกลาง ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างของโจทก์ในครั้งนี้แล้ว ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรให้โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อีก เพราะจะเป็นการเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อน โดยอาศัยเหตุจากการเลิกจ้างของโจทก์ในคราวเดียวกันซึ่งจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม อันมิใช่วัตถุประสงค์ของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งที่ 20/2530 ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 14 นั้นเสีย.