แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เอานาไปให้จำเลยที่ 2-3 เช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยที่ 2-3 มิได้ให้การต่อสู้ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าวนั้น ก็ย่อมไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยถึงความข้อนั้น
ผู้เช่าช่วงที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า ถือว่าเป็นบริวารของผู้เช่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่านา ๓๑๕ ไร่ มีกำหนด ๑ ปี ค่าเช่า ๖,๓๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าและยังเอานาไปให้จำเลยที่ ๒-๓ เช่าช่วงโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ๆ จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามและเรียกค่าเช่าจากจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ให้การรับตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒-๓ ให้การว่า ไม่มีนิติกรรมใด ๆ ผูกพันอยู่กับโจทก์ ๆ ไม่มีอำนาจฟ้อง เดิมนาเป็นของหลวงฤทธิณรงค์รอน ๆ ตาย นาแปลงนี้ตกทอดเป็นของนางแจ่ม จำเลยเช่าทำมา ๒๐ ปีแล้ว สัญญาเช่ามิได้ทำต่อกัน จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เก็บค่าเช่าเป็นข้าวไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากที่เช่าของโจทก์และให้ชำระค่าเช่า ๖,๓๐๐ บ.ด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒-๓ ฟังว่า ได้เช่าช่วงนาที่โจทก์ฟ้องจากจำเลยที่ ๑ โดยได้รับความยินยอมจากโจทก์ จึงให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องของโจทก์กล่าวชัดว่า จำเลยที่ ๑ เอานาไปให้จำเลยที่ ๒-๓ เช่าช่วงโดยไม่รับความยินยอมจากโจทก์เป็นข้อกล่าวอ้างให้จำเลยต่อสู้โดยชัดแจ้งว่า จะยอมรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ แต่จำเลยที่ ๒-๓ หาได้ให้การต่อสู้โดยชัดแจ้งถึงความข้อนี้ประการใดไม่ ดังนี้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยถึงเรื่องโจทก์รู้เห็นยินยอมในการเช่าช่วง และถือว่าจำเลยที่ ๒-๓ เป็นบริวารของจำเลยที่ ๑ พิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ ๒-๓ ออกจากที่นา