คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีลูกหนี้ของธนาคารทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีได้ใช้แก่ธนาคารในวงเงินที่กำหนดไว้และมีระยะเวลาที่ 2 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้น กำหนดให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร แล้วมีผู้ค้ำประกันเข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวนั้นจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ดังนี้ คำว่า “เบิกเงินเกินบัญชี” ย่อม+ความเป็นการเบิกเงินเกินจากบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ที่เป็นลูกหนี้ธนาคารอยู่ทั้งหมด การเข้าค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของลูกหนี้ จึงเป็นการค้ำประกันหนี้ที่มีอยู่และหนี้ในอนาคตในวงเงินที่ค้ำประกันในระยะ 2 เดือนนั้นด้วย
แม้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะมีข้อความว่า ถ้าผู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ส่งดอกเบี้ย(ในอัตราร้อยละ 8 ต่อปี) ผู้เบิกเงินเกินบัญชียอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระ+เข้าเป็นจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีทันทีที่ค้างชำระเป็น+วาไปก็ดี แต่ข้อสัญญานี้เป็นข้อตกลงในการเบิกเงินเกินบัญชีจะนำไปใช้ในกรณีที่มีการผิดนัดไม่ชำระหนี้หาได้ไม่ การที่ธนาคารโจทก์เจ้าหนี้ขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของลูกหนี้รับผิดใช้ดอกเบี้ยทบต้นต่อไปนับแต่วันฟ้องนั้น เป็นการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 วรรค 2 ห้ามไว้
กรณีลูกหนี้ของธนาคารตายลง แล้วผู้เป็นทายาทได้ทำหนังสือรับสารภาพหนี้ใช้ธนาคารเจ้าหนี้ไว้ อายุความเรียกร้องของธนาคารเจ้าหนี้อันมีต่อลูกหนี้เจ้ามรดกก็ได้เปลี่ยนมาเป็นอายุความเรียกร้องอันมีต่อทายาทผู้รับสารภาพหนี้นั้น อายุความตามมาตรา 1+54 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่ความตายของเจ้ามรดกจึงสะดุดหลุดลง อายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องของธนาคารเจ้าหนี้จึงต้องตั้งต้นฉบับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้
การที่ลูกหนี้ของธนาคารนำเงินเข้าบัญชีและถอนออกไปในระยะเวลาที่ยังมีการเบิกเงินเกินบัญชีอยู่หาเป็นการชำระหนี้เงินเบิกเกินบัญชีต่อธนาคารไม่
ข้อสัญญาค้ำประกันที่ว่า เมื่อลูกหนี้ตาย ผู้ค้ำประกันยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วม และมีความหมายว่าผู้ค้ำประกันยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ของลูกหนี้ซึ่งจะตกทอดไปยังทายาทของลูกหนี้นั้นตามกฎหมายเมื่อปรากฎว่าทายาทของลูกหนี้ได้ทำหนังสือรับสารภาพหนี้ให้เจ้าหนี้ไว้ก่อนที่อายุความ 1 ปี ได้สิ้นสุดลงผู้ค้ำประกันก็ย่อมเป็นลูกหนี้ร่วมกับทายาทนั้นต่อไปตามจำนวนหนี้ที่ค้ำประกันไว้และใช้อายุความตามมูลหนี้นั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๔๙๒ หลวงชำนาญยุทธศิลป์เปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ + ต่อโจทก์ โดยฝากเงินไว้ ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกัน หลวงชำนาญฯได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดระยะเวลา ๒ เดือน นับแต่วันทำสัญญาส่วนจำนวนเงินเป็นหนี้ที่เบิกเกินบัญชีไปให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของโจทก์เลขที่ดังกล่าวข้างต้นโดยยอมให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปี กำหนดส่งเป็นรายเดือนภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน หากไม่ส่งดอกเบี้ยตามอัตราและกำหนดดังกล่าว ก็ยอมให้ทบเข้ากับจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีทันทีเป็นคราว ๆ ไป อันเป็นประเพณีของธนาคาร หลังจากนั้นหลวงชำนาญ ฯ ได้เบิกเงินจากโจทก์เป็นคราว ๆ จนกระทั่งยอดเงินเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นและดอกเบี้ยตามบัญชีกระแสรายวันเมื่อสิ้นวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๙๖ ขึ้นถึง + บาท หลวงชำนาญ ฯ จึงทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์อีกกลับหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๙๖ ในวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท มีข้อความเช่นเดียวกับสัญญาฉบับแรก
ในการทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ ๒ นี้ จำเลยที่ ๒ ยอมเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของหลวงชำนาญฯ ตามที่ปรากฎในบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ทั้งจำเลยที่ ๒ ได้มอบโฉนดที่ ๗๑๒๕ พร้อมทั้งใบมอบฉันทะให้โจทก์ทำจำนองไว้ด้วย
หลังจากนั้น หลวงชำนาญ ฯ ได้เบิกเงินไปจากโจทก์อีกหลายคราว จนยอดเงินทั้งต้นและดอกตามบัญชีกระแสรายวันขึ้นถึง + บาท หลวงชำนาญ ฯ จึงทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์อีกฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๙๖ ในวงเงิน +๐,๐๐๐ บาท มีข้อความเช่นเดียวกับสัญญาฉบับก่อนสัญญาฉบับนี้ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นกริยาและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นบุตรหลวงชำนาญ ฯ ได้เข้าค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของหลวงชำนาญ ฯ ตามที่ปรากฎตามบัญชีกระแสรายวันของโจทก์จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ทั้งจำเลยที่ ๑ ยังได้มอบโฉนดที่ ++ ที่ +๐๐๐ ที่ +๐๐๐ และที่ ++ พร้อมทั้งใบมอบอำนาจให้ทำนิติกรรมแก่โจทก์ไว้ด้วย
ครั้น พ.ศ.๒๕๐+ หลวงชำนาญ ฯ ถึงแก่กรรม จำเลยทั้ง ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกันโดยได้ทำสัญญาให้ไว้ต่อโจทก์ไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าหลวงชำนาญ ฯ ถึงแก่กรรม จำเลยทั้ง ๓ ยอมเข้ารับผิดชอบร่วมกับลูกหนี้ จำเลยทั้ง ๓ จึงเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้รับมรดกของหลวงชำนาญ ฯ ตามสัญญา
จำเลยที่ ๑ ผู้รับพินัยกรรมของหลวงชำนาญ ฯ ได้ทำหนังสือให้ไว้คือโจทก์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ รับรองหนี้เบิกเงินเกินบัญชีปรากฎตามบัญชีกระแสรายวันที่หลวงชำนาญฯ เป็นหนี้โจทก์จำนวน + บาท และยินยอมใช้หนี้ดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยที่จะต้องเสียต่อไป จำเลยที่ ๑ +ต้องรับผิดในหนี้สินนี้อีกโสดหนึ่งต่างหากจากฐานะทายาทและผู้ค้ำประกัน
โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยทัง ๓ ไม่ชำระ ดอกเบี้ยนั้น โจทก์ติดต่อมาจนถึงสิ้นวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๒ รวมยอดเงินทั้งสิ้นทั้งต้นและดอกเบี้ยเงิน ๑,๑๖๙,๑๑๔.+๒ บาท ตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วนกันใช้เงินจำนวนดังกล่าวและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ ๘ ต่อปี โดยคิดทบต้นทุกเดือนตามสัญญา นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้ง ๓ ให้การต่อสู้คดีหลายประการ และฟ้องแย้งขอให้คืนโฉนด
ศาลชั้นต้นจดข้อแถลงรับกันแล้วสั่งงดสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมและผู้จัดการมรดกของหลวงชำนาญฯ ลูกหนี้เอามรดกใช้หนี้โจทก์ ๑,+++,๑๑๔ บาท ๕๒ สตางค์ กับดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ติดทบต้นลูกเดือนตามประเพณีธนาคารที่ระบุไว้ในสัญญานับแต่วันฟ้องต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้ง ๓ คนในฐานะส่วนตัวร่วมกันใช้ด้วยตามจำนวนต่อไปนี้ คือ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมใช้ +++,๐๐๐ บาท และใช้จำเลยที่ ๒ ร่วมใช้เพียง ๕๐๐,๐๐๐ บาท เท่าที่จำเลยได้ค้ำประกันไว้กับให้ร่วมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ต้องร่วมรับผิดนั้นในอัตราร้อยละ ๗ ๑/๒ ต่อปี ในฐานะผิดนัดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ และให้ยกฟ้องของจำเลย
จำเลยทั้ง ๓ คนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน ๒๑๓,๖๒๐ บาท ๔๐ สตางค์ แต่โจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ในฐานะค้ำประกัน ให้โจทก์คืนโฉนด ๓ แปลงที่เป็นของจำเลยที่ ๑ ให้แก่จำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้ง ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาฟังว่า เดิมหลวงชำนาญฯ ได้ฝากเงินไว้ต่อโจทก์เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โดยเปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ++ ต่อโจทก์ แล้วได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากนั้นหลวงชำนาญ ฯ ได้เบิกเงินจากโจทก์เป็นคราว ๆ จนยอดเงินเป็นหนี้โจทก์ขึ้นถึง +++,+++.๒๗ บาท หลวงชำนาญ ฯ จึงให้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์อีกนัยหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๙๖ ในวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดระยะเวลา ๒ เดือน นับจากวันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีไปนั้น ให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ แล้วในวันเดียวกันนั้น จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์ไว้ ความว่า เนื่องในการที่ธนาคารได้ยอมให้หลวงชำนาญฯ เบิกเงินจากธนาคารตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ ๒+ สิงหาคม ๒๔๙๖ เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาทนั้น ผู้ค้ำประกันยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่กล่าวแล้วจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำว่า เบิกเงินเกินบัญชีนี้ ต่อมาหมายความเป็นการเบิกเงินเกินจากบัญชีเงินฝากของธนาคารของหลวงชำนาญฯ ที่เป็นลูกหนี้ธนาคารอยู่ทั้งหมด จะตีความว่าเป็นการที่จะเบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีลูกหนี้ธนาคารที่ ๑ หลวงชำนาญฯ มีอยู่ในวันทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นหาได้ไม่ โดยเหตุผลดีน่าจะเป็นได้ว่า เมื่อหลวงชำนาญฯ ได้เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้ว และเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ถึง ๒๑๒,+++ บาทเศษ โจทก์จะต้องทวงถามให้จัดการชำระหนี้ หลวงชำนาญฯ จึงได้ยอมทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นเพื่อธนาคารเวลาการชำระหนี้นั้นต่อไปอีก การที่จำเลยที่ ๒ เข้าค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชี ของหลวงชำนาญฯ จึงเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ ๒ ยอมตนเข้าค้ำประกันหนี้ของหลวงชำนาญ ฯที่มีอยู่ต่อธนาคารไม่เกินวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กล่าวคือ เป็นการค้ำประกันหนี้ที่มีอยู่และหนี้ในอนาคนในวงเงินนั้นในระยะเวลา ๒ เดือนนั้นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หนี้ที่หลวงชำนาญฯอยู่ต่อโจทก์ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ ๒ ได้รู้จึงไม่มี+ค้ำประกันในหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหรือภายหลังระยะเวลา ๒ เดือนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะคำว่า เบิกเงินเกินบัญชีมาได้มีความหมายถึงการเบิกเงินเป็นคราว ๆ อย่างไรไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ได้เข้าค้ำประกันหนี้สินหลวงชำนาญฯเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ทั้งสิ้น แต่ไม่เกินวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฟังว่า เมื่อยอดเงินเบิกเงินเกินบัญชีของหลวงชำนาญฯ ได้ขึ้นถึง +++,๑๒๙.๕๒ บาท หลวงชำนาญฯ จึงทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๙๖ ในวงเงิน ๗๕๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดระยะเวลา + เดือนนับจากวันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้นให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ แล้วจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่กล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ต่อจากนั้นหลวงชำนาญฯ ไม่ได้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์เลยก็ดี แต่ข้อความในสัญญาประกอบพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ยอมเข้าผูกพันคนค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่หลวงชำนาญฯ มีอยู่ต่อโจทก์ตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันในวงเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาค้ำประกันนั้น
เมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ต้องรับผิดดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่ต้องคืนโฉนดแก่จำเลยตามฟ้องแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ข้อที่โจทก์ฎีกามาด้วยว่า ที่ศาลแพ่งให้จำเลย(ในฐานะผู้ค้ำประกัน) ร่วมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ต้องร่วมรับผิดนั้นในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในฐานะผิดนัดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จนั้น โจทก์เห็นว่า ศาลควรให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือนไปนั้น ศาลฎีกาสืบว่า แม้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะมีข้อความว่า ถ้าผู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ส่งดอกเบี้ย(ในอัตราร้อยละแปดต่อปี) ผู้เบิกเงินเกินบัญชียอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นพอเข้ากับจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีวันที่ค้างชำระเป็นคราว ๆ ไปก็ดี แต่ข้อสัญญานี้เป็นข้อตกลงในการเบิกเงินเกินบัญชี จะนำไปใช้ในที่มีการผิดนัดไม่ชำระหนี้หาได้ไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๔ ได้บัญญัติบังคับไว้+ หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระวางเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น และตามวรรคสองได้บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระวางผิดนัด ฉะนั้น การที่โจทก์+ให้จำเลยรับผิดให้ดอกเบี้ยทบต้นต่อไปนับแต่วันฟ้องนั้น จึงเป็นการที่โจทก์ติดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดซึ่งกฎหมายห้ามไว้
ข้อที่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะนำคดีมาฟ้องเกินกว่า ๑ ปีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นทายาทจึงตกเป็นลูกหนี้ที่โจทก์จะบังคับเอาตามสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ต่อหลวงชำนาญ ฯผู้ตายสำหรับทรัพย์สินที่ตกทอดแก่จำเลยที่ ๑ โดยสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือรับสารภาพหนี้ให้โจทก์ไว้แล้ว อายุความเรียกร้องของโจทก์ยังมีต่อเจ้ามรดกก็ได้เปลี่ยนมาเป็นอายุความเรียกร้องอันมีต่อจำเลยที่ ๑ อายุความตามมาตรา ๑๗๕๔ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด ๑ ปีนับแต่ความตายของเจ้ามรดกจึงสะดุดหยุดลง อายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงต้องตั้งต้นนับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้ คำว่ารับสารภาพหนี้ ก็มีความหมายบ่งชี้อยู่ชัดแล้วว่า เป็นการรับสภาพหนี้ตามมูลหนี้นั้น ๆ เมื่อมูลหนี้ในเรื่องนี้เป็นหนี้ที่ก่อขึ้นโดยการกู้เงิน อายุความบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีมูลหนี้จากการกู้เงินนั้นย่อมมีกำหนด ๑๐ ปี หาอาจกลับไปใช้อายุความ ๑ ปีสำหรับสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีอยู่แลเจ้ามรดกได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ ๑๔๙๖/๒++ และฎีกาที่ + )
ศาลฎีกาวินิจฉัยนัยฎีกาของจำเลยที่ ๒ ว่า การที่หลวงชำนาญ ฯ นำเงินเข้าบัญชีและถอนกลับไปในระยะเวลาที่ยังมีการเบิกเงินเกินบัญชีกันอยู่ หาเป็นการชำระหนี้เงินเบิกเกินบัญชีต่อธนาคารอย่างใดไม่ (อ้างฎีกาที่ ๑๐๗๒/๒๕๐๖) จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมเมื่อหลวงชำนาญฯ ศาลตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ทำให้โจทก์ไว้เต็มจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพราะวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๖ อันเป็นวันก่อนครบกำหนดเวลา ๒ เดือนที่จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันไว้นั้น หลวงชำนาญฯ เป็นลูกหนี้โจทก์ตามบัญชีกระแสรายวัน โดยการเบิกเงินเกินบัญชีอยู่ถึง ++ บาท
ข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ข้อสัญญาค้ำประกันที่ว่า เมื่อหลวงชำนาญ ฯตาย จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วม ไม่เป็นผลบังคับได้ เพราะไม่มีตัวหลวงชำนาญฯ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความในสัญญาเช่นนั้น ย่อมมีความหมายว่า จำเลยที่ ๒ ยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ของหลวงชำนาญฯ ซึ่งจะต้องตกทอดไปยังทายาทของหลวงชำนาญฯ ตามกฎหมายนั่นเอง
ขั้นที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า คดีต้องใช้อายุความมรดก ๑ ปีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีปรากฎว่าทายาทของหลวงชำนาญฯ ผู้เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่หลวงชำนาญฯ ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ก่อนที่อายุความ ๑ ปีได้ขึ้นสุดลง จำเลยที่ ๒ ซึ่งตกลงเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ของหลวงชำนาญ ฯ ที่ตกทอดมานั้น ก็ย่อมเป็นลูกหนี้ร่วมกับทายาทนั้นต่อไปตามจำนวนหนี้ที่ค้ำประกันไว้ และหนี้เงินกู้ที่รับสภาพแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นหนี้เงินกู้ต่อไป สิทธิเรียกร้องมีอายุความที่ค้ำประกันไว้ และหนี้เงินกู้ที่รับสภาพแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นหนี้เงินกู้ต่อไป สิทธิเรียกร้องมีอายุความ ๑๐ ปี ดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share