คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839-840/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 6 ให้รับผิดละเมิดในฐานผู้รับประกันวินาศภัย โดยบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า “จำเลยเป็นผู้รับประกันวินาศภัยต่อจำเลยผู้เป็นเจ้าของจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทุกประเภทจนครบ หาได้บรรยายแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า สัญญาประกันภัยนั้นได้ระบุให้จำเลยที่ 6 จะต้องรับผิดถึงความเสียหายของบุคคลภายนอก คือ โจทก์ ไว้ทั้งคำขอที่จะให้บังคับจำเลยที่ 6 ในลักษณะอย่างไร ก็ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งจะเป็นข้ออ้างที่จะอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านี้แต่ประการใดไม่
ย่อมเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม.

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้ศษลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑-๒-๓-๔ เป็นเจ้าของรถยนต์ร่วมกัน จำเลยที่ ๕ เป็นลูกจ้าง จำเลยที่ ๖ เป็นผู้รับประกันวินาศภัย จำเลยที่ ๕ ได้ขับรถคันนั้นของจำเลยที่เป็นนายจ้างโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้พันโทรณรงค์ อุตตมะรูป กับผู้เดินทางร่วมอีกคนหนึ่งถึงแก่ความตาย และรถยนต์ของพันโทรณรงค์เสียหายใช้การไม่ได้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้ง ๖ ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องมีข้องความเดียวกับสำนวนแรก โดยเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาเล่าเรียนของโจทก์ทั้ง ๒ จากจำเลย
จำเลยที่ ๑ – ๓ – ๔ ให้การต่อสู้ว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ ๒ ทั้งไม่ได้จ้างจำเลยที่ ๕
จำเลยที่ ๒ รับว่าเป็นเจ้าของรถยนต์คนเดียว และจำเลยที่ ๕ เป็นลูกจ้างของตน แต่จำเลยที่ ๕ ไม่ได้ขับรถโดยประมาท ฯลฯ และฟ้องแย้งให้โจทก์กับพวกใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๖ ต่อสู้หลายประการ ข้อสำคัญก็คือ จำเลยที่ ๖ ไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๕ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดขั้นพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึง ๕ ร่วมกันรับผิดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าการศึกษาบุตร ค่าปลงศพและค่ารถยนต์แก่โจทก์สำนวนแรก สำหรับสำนวนหลังให้ร่วมกันใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่นางยวงแก้ว-โจทก์ที่ ๑ ค่าอุปการะและค่าการศึกษาแก่เด็กหญิงวัลลีย์ โจทก์ที่ ๒ กับให้จำเลยดังกล่าวใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายแทนโจทก์ด้วย ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องแย้งนางประไพกับพวก-โจทก์ และโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องจำเลยที่ ๖ นั้น ให้ยกเสีย ฯ
นางประไพกับพวก โจทก์สำนวนแรกอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๖ ไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๑,๒,๓,๔ อุทธรณ์หลายประการ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องของโจทก์เสียทั้ง ๒ สำนวน กับให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๒ นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้ง ๒ สำนวนฎีกา ขอให้จำเลยทุกคนร่วมกันรับผิดตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ฎีกาขอให้โจทก์สำนวนแรกรับผิดตามฟ้อง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๕ ฝ่ายเดียวขับรถยนต์โดยประมาท จำเลยที่ ๒ กับที่ ๕ ต้องร่วมกันรับผิด ไม่ฟังว่าจำเลยที่ ๑ – ๓ – ๔ เป็นเจ้าของรถยนต์กับจำเลยที่ ๒ ด้วย โจทก์ไม่มีพยานว่าจำเลยที่ ๕ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ – ๓ – ๔ และวินิจฉัยในข้อกฎหมายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ ๖ ว่า โจทก์บรรยายฟ้องสำหรับจำเลยนี้เพียงว่าจำเลยที่ ๖ เป็นผู้รับประกันวินาศภัยต่อจำเลยผู้เป็นเจ้าของ จึงต้อรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทุกประเภทจนครบ หาได้บรรยายแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าสัญญาประกันภัยนั้นได้ระบุให้จำเลยที่ ๖ จะต้องรับผิดถึงความเสียหายของบุคคลภายนอก คือ โจทก์ไว้ ทั้งคำขอที่จะให้บังคับจำเลยที่ ๖ ในลักษณะอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่จะอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแต่ประการใดไม่ ฟ้องโจทก์สำนวนแรกสำหรับจำเลยที่ ๖ จึงเป็นการเคลือบคลุม ดังที่ศาลทั้งสองวินิจฉัย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยพิพากษาให้จำเลยที่ ๒,๕ ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่นางประไพกับพวกโจทก์สำนวนแรก และร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่โจทก์สำนวนหลัง คือ โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ และใช้ค่าธรรมเนียมทั้งสิ้นแก่โจทก์ทั้ง ๒ สำนวน ส่วนค่าทนายความ ๓ ศาล ให้จำเลยที่ ๒ กับที่ ๕ ร่วมกันใช้ให้โจทก์สำนวนแรกและให้จำเลยที่ ๒ กับที่ ๕ ใช้ค่าทนายความสำนวนหลัง ๓ ศาล สำหรับจำเลยอื่นเป็นพับไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share