คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ที่มีจำนองเป็นประกัน เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ คือ บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ หรือจะบังคับจำนอง คือ ใช้บุริมสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์ที่จำนอง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดร่วมกับนายมด จำเลยมอบอำนาจให้ภริยาทำจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยดังกล่าวไว้แก่โจทก์ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง แต่ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่จำนองไว้แก่โจทก์นั้น ต่อมาคณะกรรมการจัดสรรที่ดินฯ ได้สั่งถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดรายนี้ โอนใส่ชื่อนายมดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ผู้เดียวจำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่ดินรายนี้ต่อไป โจทก์ได้ติดต่อบังคับจำนองและทวงเงินหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉยเสีย โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้ฐานหนี้สินธรรมดา ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 35,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันฟ้อง

จำเลยให้การต่อสู้คดี

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกหนี้สินธรรมดาโจทก์ชอบที่จะบังคับจำนองเอาจากผู้ครอบครองทรัพย์ที่จำนอง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702และมาตรา 744(1) ลักษณะการจำนองเป็นการเอาทรัพย์เป็นประกันการชำระหนี้ อาจแยกการจำนองกับหนี้ที่เอาทรัพย์เป็นประกันนั้นเป็นคนละส่วนได้ หรืออีกนัยหนึ่ง หนี้ที่มีจำนองเป็นประกันนั้น เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ คือ บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามมาตรา 214 หรือจะบังคับจำนอง คือ ใช้บุริมสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้การจำนองมิได้ผูกพันผู้รับจำนองให้ต้องบังคับจำนองเฉพาะแต่ทางเดียวฉะนั้น โจทก์จะใช้สิทธิบังคับจำเลยให้ชำระหนี้รายนี้อย่างหนี้สามัญโดยสละบุริมสิทธิของโจทก์ที่มีเหนือทรัพย์ที่จำนองก็ย่อมทำได้” ฯลฯ

พิพากษายืน

Share