คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1883/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์สั่งสินค้าอุปกรณ์ท่อน้ำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรราคาสินค้าดังกล่าวที่เสนอขายเป็นราคามาตรฐานสากล แต่ผู้ขายหักส่วนลดให้โจทก์ 58% ราคาที่หักส่วนลดแล้วเป็นราคาตลาด ดังนี้ ต้องถือราคาที่หักส่วนลดแล้วเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ ที่จะคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร เพราะรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79(6) หมายความว่ามูลค่าของสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นให้ความหมายคำว่า มูลค่าว่า ราคาตลาดของทรัพย์สินทั้งโจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคารและชำระเงินไปตามตั๋วแลกเงินในจำนวนราคาที่หักส่วนลดแล้ว ราคาสินค้าที่หักส่วนลดนี้จึงเป็นราคาที่แท้จริง เป็นราคาตลาดและราคา ซี.ไอ.เอฟ ที่ถูกต้องเชื่อถือได้ จำเลยไม่มีอำนาจที่จะอาศัยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า(ฉบับที่ 4) ประเมินราคา ซี.ไอ.เอฟ ใหม่ โดยถือเอาราคาสินค้าก่อนหักส่วนลดเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ มาเป็นหลักในการประเมินภาษีการค้าของโจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยสั่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรเมื่อเดือนกันยายน 2508 โจทก์สั่งซื้อสินค้าอุปกรณ์ท่อน้ำขนาดต่าง ๆ จำนวน 297 หีบจากประเทศญี่ปุ่นในราคาซี.ไอ.เอฟ.กรุงเทพฯ ซึ่งหมายความว่าเป็นราคาสินค้าที่รวมค่าประกันภัยและค่าขนส่งทางเรือจนถึงท่าเรือกรุงเทพฯ ไว้ด้วย คิดเป็นเงินไทย 110,543.06 บาท และได้นำรายรับจากการนำสินค้าเข้าดังกล่าวไปยื่นชำระภาษีการค้าโดยบอกอากรขาเข้า 5,858.16 บาท ค่าขนถ่ายสินค้า 788.80 บาท และกำไรมาตรฐาน 11,718.96 บาท รวมเป็นรายรับที่จะคำนวณเสียภาษีการค้าทั้งสิ้น 128,908.58 บาท ชำระภาษีการค้า 5 % ของยอดรายรับเป็นเงิน 6,445.43 บาทและภาษีบำรุงเทศบาล 10% ของยอดภาษีการค้าเป็นเงิน 644.54 บาท รวมเป็นภาษีที่โจทก์ชำระไปแล้วเป็นเงิน 7,089.97 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้ส่งแบบแจ้งการประเมิน (ภ.ค.(พ.)8) ที่ กค. 0805/ก.8010 แจ้งว่า โจทก์ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีการค้าจากรายรับขาดไป 167,920.26 บาท ยอดรายรับที่ถูกต้องคือ 296,828.84 บาท จึงประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่ม เงินเพิ่ม เบี้ยปรับและภาษีบำรุงเทศบาล รวมเป็นค่าภาษีที่ให้โจทก์ชำระอีก 20,687.76บาทอันเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เพราะประเมินรายรับจากราคาสินค้าที่สำแดงในใบขนสินค้าเข้า ซึ่งเป็นราคาเบื้องต้นก่อนหักส่วนลดและมิใช่ราคา ซี.ไอ.เอฟ. อันจะนำไปคำนวณเป็นรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าราคาที่สำแดงในใบขนสินค้าไม่เกี่ยวข้องกับการเสียอากรขาเข้า และเป็นเพียงวิธีการทางด้านศุลกากรในการนำสินค้าออกจากท่าเรือ ราคาสินค้าที่นำไปคำนวณเป็นรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าจะต้องเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ.ของสินค้าที่ซื้อขายจริงและหักส่วนลดออกแล้ว โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีดังกล่าวต่อคณะกรรมกาพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งจำเลยที่ 2, 3 และ 4 เป็นกรรมการ และสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์อ้างว่าการประเมินถูกต้องและชอบแล้ว ขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า (ภ.ค.(พ)8) ที่ กค.0805/ก.8010 ของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ (ภ.ส.7) เลขที่ 19/2515 ของจำเลยที่ 2, 3 และ 4

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ยื่นชำระภาษีการค้าจากรายรับ 128,908.58 บาท โดยหักส่วนลด 58% แล้ว เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ประเมินเก็บภาษีจากหลักฐานตามใบอินวอยซ์ซึ่งเจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งราคาสินค้าก่อนหักส่วนลดแสดงไว้ในใบขนคิดเป็นเงินไทย 263,197.96 บาท ซึ่งขาดไป 167,920.26 บาท เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจทำได้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า(ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2504 โดยให้ถือราคา ซี.ไอ.เอฟ.บวกอากรขาเข้า ค่าขนถ่ายและกำไรมาตรฐานเป็นเกณฑ์คำนวณภาษีการค้าหาราคา ซี.ไอ.เอฟ. ที่ผู้นำเข้าแสดงมาไม่เชื่อถือ เจ้าพนักงานมีอำนาจประเมินราคา ซี.ไอ.เอฟ.ใหม่ โดยเทียบเคียงกับราคาตลาดที่อาจเทียบเคียงได้ หรือราคาตลาดโลก ทั้งราคาตามที่แสดงในใบขนกรณีนี้เป็นราคาตามมาตรฐานโลก แม้ต่อมาจะปรากฏว่าสินค้ารายนี้ได้รับส่วนลดจากราคาตลาดลงอีก 58% ก็ไม่ควรถือราคาที่หักส่วนลดแล้วเป็นราคาตลาดเพื่อเสียภาษี เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ปฏิบัติชอบแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า(ภ.ค.(พ)8) ที่ กค.0805/ก.8010 ของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ (ภ.ส.7) เลขที่ 19/2515 ของจำเลยที่ 2, 3 และ 4

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์แสดงรายรับในการเสียภาษีการค้าตามราคาซี.ไอ.เอฟ. คิดเป็นเงินไทย 110,543.06 บาท ซึ่งหักส่วนลด 58% แล้ว บวกด้วยอากรขาเข้า ค่าขนถ่ายสินค้าและกำไรมาตรฐานรวมเป็นรายรับที่จะไปประเมินภาษีการค้าเป็นเงิน 128,908.58 บาท เป็นค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่โจทก์ได้ชำระไป 7,089.97 บาทต่อมาเจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีการค้าของโจทก์ใหม่ โดยถือราคาสินค้าก่อนหักส่วนลด 58% เป็นเงิน 296,828.84 บาท โจทก์แสดงรายรับสินค้าขาดไป 167,920.26 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ คณะกรรมการยกอุทธรณ์ของโจทก์ ราคาสินค้าของโจทก์ก่อนหักส่วนลด 58% เป็นราคามาตรฐานสากล ราคาซื้อขายจริงคือราคาที่คิดหักส่วนลดแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในการซื้อขาย

ในปัญหาที่ว่าจะถือราคาก่อนหักส่วนลดหรือหักส่วนลดแล้วเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ ที่จะคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้าตาม ประมวลรัษฎากร

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความว่า ราคาสินค้าที่เสนอขายก่อนหักส่วนลดเป็นราคามาตรฐานสากล ส่วนราคาที่หักส่วนลดแล้วเป็นราคาตลาดนั้น ตรงกับความหมายของคำว่ารายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79(6) หมายความว่ามูลค่าของสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักร ซึ่งมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นให้ความหมายคำว่ามูลค่าว่า ราคาตลาดของทรัพย์สิน และโจทก์นำสืบได้ว่าโจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคาร และได้ชำระราคาไปตามตั๋วแลกเงินในจำนวนราคาที่หักส่วนลดแล้ว เป็นหลักฐานที่ฟังได้ว่าเป็นราคาที่แท้จริง และเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. ฝ่ายจำเลยได้ยึดถือราคาสินค้าก่อนหักส่วนลดในใบอินวอยซ์และ จำนวนราคาในใบขนสินค้าขาเข้าเป็นราคาตลาดโลกว่าเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ.โดยมีความเห็นว่า ราคาสินค้าของโจทก์เมื่อหักส่วนลดแล้วเป็นราคาที่ต่ำกว่าความจริงอันไม่พึงเชื่อถือนั้น โจทก์นำสืบได้ว่าราคาสินค้าเมื่อหักส่วนลดแล้วเป็นราคาที่แท้จริงที่โจทก์ได้ชำระราคาไปและเป็นราคาตลาด ส่วนใบขนสินค้าขาเข้าเป็นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์เป็นผู้กรอกราคาสินค้าก่อนหักส่วนลด เพื่อความสะดวกในการขนสินค้าและคิดอากรขาเข้าตามน้ำหนักของสินค้าเท่านั้นฎีกาของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่า การลดราคาสินค้าในกรณีของโจทก์น่าจะเป็นเพียงตัวเลขมากกว่าจะมีการลดราคากันจริงจังนั้น เป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น เมื่อราคาสินค้าที่หักส่วนลดเป็นราคาที่แท้จริง เป็นราคาตลาดและเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. ที่ถูกต้องเชื่อถือได้ จำเลยก็ไม่มีอำนาจที่จะอาศัยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 4) ประเมินราคา ซี.ไอ.เอฟ.ใหม่ โดยถือเอาราคาสินค้าก่อนหักส่วนลดเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. มาเป็นหลักในการประเมินภาษีการค้าของโจทก์ได้อีก และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ที่ยกอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีการค้าของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน

Share