คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1598/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีภริยาที่ยังมิได้หย่าขาดจากกันแต่แยกกันอยู่โดยฝ่ายสามีแสดงเจตนาไม่ต้องการให้ภริยาอยู่ร่วมด้วย และฝ่ายภริยามีรายได้ไม่พอจ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด กับไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอื่นพอเป็นรายได้เลี้ยงดูตนเอง เช่นนี้ภริยาย่อมมีสิทธิรับการช่วยเหลือเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1594 และมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามีได้ เพราะสามีอยู่ในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1453

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โดยได้สมรสกันตามกฎหมายไทย มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายแอลเดรส วิลลาริโกอายุ 3 ขวบ ปัจจุบันโจทก์จำเลยยังมิได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน เมื่อโจทก์จำเลยสมรสกันโจทก์ได้เดินทางไปยังประเทศลาวและเดินทางต่อไปยังฮ่องกงตามคำแนะนำของจำเลย โจทก์อยู่ที่ฮ่องกงราวปลายปี พ.ศ. 2510 ตลอดมาถึงปี พ.ศ. 2511 โจทก์จำเลยติดต่อกันทางจดหมายตลอดมาจำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าประเทศไทยอยู่ในระยะอันตราย และอาจมีสภาพเหมือนเวียตนาม จำเลยจะพาโจทก์ไปอยู่ที่อื่นซึ่งอาจเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา จำเลยไม่ได้ติดต่อกับโจทก์และไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยอยู่ที่ใดแน่ จำเลยไม่ส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ จนกลางปี พ.ศ. 2513 โจทก์มีจดหมายสอบถามไปยังสถานทูตฟิลิปปินส์ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศในที่สุดสถานทูตฟิลิปปินส์ในประเทศไทยช่วยให้จำเลยติดต่อกับโจทก์ จำเลยได้เขียนจดหมายขอหย่ากับโจทก์และยินดีจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ จำเลยมีหน้าที่ตามศีลธรรมและตามกฎหมายที่จะต้องเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องนุ่งห่ม ค่าที่พักอาศัย ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดรวมเดือนละ 6,000 บาท จำเลยค้างจ่ายเป็นเวลา 40 เดือนเป็นเงิน 240,000 บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน 240,000 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเดือนละ 6,000 บาท นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2515 จนกว่าโจทก์จำเลยจะขาดจากการสมรสและจนกว่าบุตรของโจทก์จะบรรลุนิติภาวะกับให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย

จำเลยให้การว่า จำเลยสมรสกับโจทก์ตามแบบกฎหมายไทยและจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2510 จริง แต่ภายหลังสมรสกันแล้ว โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่า จะต้องไปทำธุระให้ครอบครัวของโจทก์ที่ประเทศลาว โจทก์ไปแล้ว ไม่ส่งข่าวให้จำเลยทราบ โจทก์คบชู้ จงใจทิ้งร้างและกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่กินฉันสามีภริยา โจทก์มีสามีใหม่แล้ว จำเลยไม่สนใจติดต่อกับโจทก์ เด็กชายแอลเดรส วิลลาริโกไม่ใช่บุตรของจำเลย หากศาลพิจารณาเห็นว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้โจทก์ จำเลยขอต่อสู้ว่า ค่าเลี้ยงดูดังกล่าวมากมายเกินสมควร จำเลยไม่สามารถจ่ายให้ได้ตามที่ขอ จำเลยให้ได้เพียงเดือนละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่เดือนกุมภาพันธ์2515 เป็นต้นไป และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม โดยคิดค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดีกับค่าทนายความ 1,000 บาทแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแอลเดรส วิลลาริโก แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ยังศาลที่มีอำนาจ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์500 บาทแทนโจทก์

จำเลยฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นชาวฟิลลิปปินส์มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในฐานะคนต่างด้าว ส่วนโจทก์เป็นชาวฮ่องกง สัญชาติอังกฤษ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ฮ่องกง โจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในฐานะนักทัศนาจร แล้วได้สมรสกับจำเลยและจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายไทย ในประเทศไทยแล้วได้อยู่กินฉันสามีภริยาในประเทศไทยระยะหนึ่ง โจทก์จึงกลับไปอยู่ที่ฮ่องกง ไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกับจำเลยในประเทศไทย และโจทก์จำเลยยังคงเป็นสามีภริยากันอยู่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จำเลยจะเป็นสามีภริยากันอยู่ แต่การที่โจทก์ต้องกลับไปอยู่ที่ฮ่องกงนั้น ไม่ใช่เพราะความประสงค์ของโจทก์ แต่เป็นความประสงค์อันแท้จริงของจำเลยดังจดหมายที่จำเลยมีถึงโจทก์ (เอกสารหมาย จ.3) ที่จำเลยเขียนไปถึงโจทก์ซึ่งมีข้อความว่าไม่ให้โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร อ้างสถานะการณ์ไม่ปลอดภัย แสดงเจตนาของจำเลยว่าไม่ต้องการให้โจทก์มาอยู่ร่วมด้วย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยซึ่งเป็นสามีในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว และต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ซึ่งเป็นภริยาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1453 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้ไร้ทรัพย์สินและมีสามารถหาเลี้ยงตนเองได้ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1594 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้โจทก์จะประกอบอาชีพมีรายได้เดือนละประมาณ 3,000 บาทก็ตาม แต่โจทก์ก็นำสืบว่า โจทก์ต้องใช้จ่ายเป็นค่าอาหารเดือนละ3,500 บาท ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเดือนละ 500 บาท นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าเช่าที่พักอีก รายได้ของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เพียงพอกับรายจ่ายดังกล่าวและไม่ได้ความว่าโจทก์มีทรัพย์สินอื่นอีกพอเป็นรายได้เลี้ยงดูตนเองได้ โจทก์จึงมีสิทธิรับการช่วยเหลือเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดู สำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากจำเลยได้ตามกฎหมาย สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นจำนวนเท่าใดนั้นพิเคราะห์แล้ว จำเลยมีรายได้เดือนละ 6,500 บาท นับว่าจำนวนค่อนข้างมากพอที่จะเจียดจ่ายให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์ย้อนหลัง 40,000 บาทและต่อไปเดือนละ 1,500 บาท ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2515 ตลอดไปนั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้จำเลยเสียค่าทนายความในชั้นฎีกา 800 บาทแทนโจทก์

Share