คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามมีอาวุธปืนติดตัวขึ้นไปบนสถานีตำรวจ จำเลยที่ 1ขอให้ผู้เสียหายไปตรวจค้นบ้านบุคคลอื่น แต่ผู้เสียหายไม่ยอมทำตามจำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนจี้บังคับไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องแล้วใช้มือล็อกคอและกอดปล้ำบังคับผู้เสียหายให้นั่งบนโซฟาโดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนสั้นและจำเลยที่ 3 ยืนจับด้ามปืนสั้นที่เอว แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ชักปืนออกมาก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนบังคับผู้เสียหายด้วย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1และที่ 2 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 310, 321,358, 361, 371, 376, 32, 33, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 22, 23พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 64 และขอให้คืนอาวุธปืนลูกซองยาวหมายเลขทะเบียน ก.ท.2850932 และหมายเลขทะเบียนกท.2753163 ให้แก่จำเลยที่ 1 ของกลางอื่นให้ริบ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิชอบฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยมิชอบ ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยมิชอบ ฐานให้คนต่างด้าวเข้าเมืองโดยมิชอบเข้าพักอาศัยซ่อนเร้นในบ้านเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ส่วนข้อหาความผิดอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ขอถอนคำร้องทุกข์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสอง, 72 วรรคแรก และวรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก ข้อหาพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 2 อายุไม่เกิน 17 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้วฐานมีอาวุธปืนฯ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 คนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนฯ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 คนละ 1 ปีส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือนเฉพาะจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานมีเครื่องวิทยุโทรคมนาคม ให้จำคุก6 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคม ให้จำคุก 6 เดือน และฐานให้คนต่างด้าวพักอาศัยให้จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานมีอาวุธปืน ฐานมีเครื่องวิทยุโทรคมนาคม ฐานตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคม และฐานให้คนต่างด้าวพักอาศัยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืน 6 เดือน ฐานมีเครื่องวิทยุโทรคมนาคม 3 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคม 3 เดือนและฐานให้คนต่างด้าวพักอาศัย 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด2 ปี 15 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 รวม 18 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 3รวม 3 ปี คืนอาวุธปืนลูกซองยาวหมายเลขทะเบียน ก.ท.2850932 กับหมายเลขทะเบียน ก.ท.2753163 ให้แก่จำเลยที่ 1 ของกลางอื่นให้ริบข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิชอบ ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4,000 บาทปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 500 บาท ปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 1,000 บาทอีกสถานหนึ่ง ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยมิชอบให้ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 คนละ 2,000 บาท ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน1,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 5,000 บาทปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 2,500 บาท อีกสถานหนึ่ง ความผิดฐานมีเครื่องวิทยุโทรคมนาคมและฐานตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคมโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6, 23 ให้ปรับจำเลยที่ 1 ฐานละ 3,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ความผิดฐานให้คนต่างด้าวพักอาศัยเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน10,000 บาท อีกสถานหนึ่งจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนฯฐานมีเครื่องวิทยุโทรคมนาคมฐานตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคม และฐานให้คนต่างด้าวพักอาศัย ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงปรับจำเลยที่ 1 รวม 17,000 บาท จำเลยที่ 2รวมปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 3 รวมปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสามไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง เฉพาะจำเลยที่ 3 ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จ่าสิบตำรวจชูชาติผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย นายดาบตำรวจเมฆเจตะวัน และพันตำรวจโทบรรฑป สุคนธมาน เบิกความยืนยันฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามมีอาวุธปืนติดตัวขึ้นไปบนสถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่สายจำเลยที่ 1 ขอให้ผู้เสียหายไปตรวจค้นบ้านบุคคลอื่น แต่ผู้เสียหายไม่ยอมทำตามที่ขอ จำเลยที่ 1 ซึ่งเมาสุราแสดงอาการโกรธได้ข่มขู่ใช้อาวุธปืนจี้บังคับไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องไป จำเลยที่ 1ได้ใช้มือล็อกคอและกอดปล้ำบังคับผู้เสียหายให้นั่งบนโซฟาโดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนสั้นขนาด .357 และจำเลยที่ 3 ยืนจับด้ามปืนออโตเมติก .45 ที่เอว แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ชักปืนออกมาก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนบังคับผู้เสียหายด้วย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามฟ้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 5,000 บาท รวมโทษจำเลยที่ 3 จำคุก 3 ปี และปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share