แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะผู้เสียหายนั่งคุยกับ จ. จำเลยที่ 2 ได้เข้าไปขอเงิน 5 บาท ผู้เสียหายพูดว่าไม่มีให้จำเลยที่1 ใช้มีดจี้คอผู้เสียหายและพูดว่า ถ้าไม่ให้เจ็บตัวจ. ส่งเงิน 10 บาท ให้ผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายส่งให้จำเลยที่ 2 รับไป เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ 2 ได้เดินไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ค้นตัวได้เงินเพียง10 บาทที่ จ.ให้ไปเท่านั้นจ.ตอบคำถามค้านว่าให้เงินแก่จำเลยที่ 2 ด้วยความสมัครใจเต็มใจ เพราะสงสาร ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนา ร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาแต่แรกเมื่อได้เงินตามที่ขอแล้วก็ไม่ขู่เอาทรัพย์อื่นต่อไปอีกการเอา เงินไปจึงถือไม่ได้ว่า เกิดจากการลักทรัพย์จึงไม่เป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีมีดเป็นอาวุธทำการชิงทรัพย์เอาเงินจำนวน10 บาท ของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุขณะที่นายสงกรานต์ พาลี ผู้เสียหายนั่งคุยกับนายสาวจิราภรณ์ บุญมั่ง อยู่ที่ม้านั่งสาธารณะริมสนามหลวงตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำเลยที่ 2 ได้ไปขอเงิน5 บาท จากคนทั้งสอง ผู้เสียหายพูกว่าไม่มีให้ จำเลยที่ 1 ได้ใช้มีดตัดหนังจี้ที่คอด้านหลังของผู้เสียหายแล้วพูดว่า เฮ้ยจะให้หรือเปล่า ถ้าไม่ให้เจ็บตัว นางสาวจิราภรณ์ได้ส่งธนบัตรฉบับละ 10 บาท จำนวน 1 ฉบับ ให้ผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายส่งให้จำเลยที่ 2 รับไป ได้เงินแล้วจำเลยที่ 2 กับพวกเดินไปทางท่าพระจันทร์ผู้เสียหายไปแจ้งความและนำตำรวจไปจับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในข้อหาชิงทรัพย์ดำเนินเป็นคดีนี้ จำเลยที่ 1ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษความผิดฐานชิงทรัพย์คดีถึงที่สุด
ปัญหาที่อ้างวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่นั้น ตามทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นนักศึกษาแผนกช่างหนังชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมกรุงเทพ จำเลยที่ 2 เป็นนักเรียกชั้นปีที่ 1 โรงเรียนพาณิชยการสากลบางโพ แผนกช่างสำรวจ วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้ชวนเพื่อนหลายคนไปดื่มสุราที่ร้านค้าหลังโ่รงเรียนของจำเลยที่ 1 จนเวลาประมาณ 21 นาฬิกาจึงชวนกันกลับบ้านจำเลยที่ 2 ไม่มีเงินตั้งใจจะขอเงินจากเพื่อนแต่ไม่มีใครมีเงินจึงเข้าไปยกมือไหว้ผู้เสียหายและนางสาวจิราภรณ์ขอเงิน 5 บาทเป็นค่ารถเมล์กลับบ้านนางสาวจิราภรณ์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าให้เงิน 10 บาทแก่จำเลยที่ 2 ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ เพราะสงสาร เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ 2 ได้ไปส่งเพื่อนเพื่อลงเรือที่ท่าพระจันทร์ เดินไปห่างที่เกิดเหตุประมาณ 250 เมตร ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ค้นตัวจำเลยทั้งสองมีเงินเพียง 10 บาทที่นางสาวจิราภรณ์ให้ไปเท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อทำการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายมาแต่แรก เมื่อได้เงินตามที่ขอแล้วก็ไม่ขู่เอาทรัพย์อื่นต่อไปอีก ฉะนั้นการที่เอาเงินของกลางไปถือไม่ได้ว่าเกิดจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์