แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องคดีแพ่งว่า ม.บุกรุกที่ดินของจำเลย ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ ม. แย่งการครอบครองไปแล้ว คงเป็นของจำเลย 15 ไร่ ระหว่างฎีกาจำเลยจ้างคนเข้าหยอดปอในที่ดินส่วนที่ศาลพิพากษาว่าเป็นของ ม. และพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลย ข้อหาบุกรุก ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าที่ดินที่กล่าวหายังพิพาทเป็นคดีแพ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟังไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิโดยแน่แท้ ยังไม่มีมูลความผิดทางอาญาคดีถึงที่สุด ต่อมาเมื่อคดีแพ่งยุติลงว่าที่ดินเป็นของจำเลย 15 ไร่แล้ว จำเลยได้จ้างคนเข้ารื้อที่ดินเป็นส่วนของ ม. อีก ดังนี้ จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทตั้งแต่เข้าหยอดปอ ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องฐานบุกรุกไปแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยยังไม่ยอมสละการครอบครอง มิใช่เข้าไปไถ่ที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองใหม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๘ จำเลยร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของนาย ค. เนื้อที่ ๕๗ ไร่ เพื่อถือการครอบครอง และใช้รถไถพรวนดินทั้งแปลงอันเป็นการรบกวนการครอบครอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒,๓๖๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๓ เดือน ข้อหาสำหรับจำเลยที่ ๒ ให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่ดินที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเป็นที่สำหรับปลูกปอ เมื่อปลูกปอแล้วก็ว่างมิได้ทำประโยชน์ เดิมจำเลยครอบครองทำไร่ปอมาก่อนแล้วถูกฝ่ายผู้เสียหายแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ครั้ง พ.ศ. ๒๕๑๕ จำเลยแย่งการครอบครองคืนและคงครอบครองตลอดมาจนบัดนี้ หาใช่เพิ่งบุกรุกที่ดินในวันเวลาฟ้องไม่ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นกรณีพิพาททางแพ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องต่อศาลจังหวัดชัยภูมิขอให้ห้าม ม.บิดา ค.ผู้เสียหายคดีนี้ มิให้เข้าเกี่ยวข้องที่ดินเนื้อที่ ๖๓ ไร่เศษ จำเลยที่ ๑ ม.ต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของตน ศาลจังหวัดชัยภูมิฟังว่าจำเลยที่ ๑ ครอบครองที่ดินอยู่เพียง ๑๕ ไร่ นอกนั้นถูก ม.แย่งการครอบครอง พิพากษาว่าส่วนหนึ่งของที่พิพาทและ ม.อุทธรณ์ฎีกาต่อมา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน เดือนมีนาคม ๒๔๑๕ ในระหว่างคดี จำเลยจ้าง ส.กับพวกหยอดปกในที่ดินส่วนที่ศาลจังหวัดชัยภูมิฟังว่าเป็นของ ม. พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ กับพวกว่าบุกรุก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินที่กล่าวมา จำเลยที่ ๑ กับ ม.ยังพิพาทเป็นคดีแพ่งอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ยังฟังไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิโดยแน่แท้เป็นการแย่งกันทำกินมากกว่า ยังไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด และจำเลยที่ ๑ ได้ทำไร่ปอในที่พิพาทต่อมาจนศาลฎีกาพิพากษาคดีแพ่งและศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๑๗ ต่อมาวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๑ ได้จ้างจำเลยที่ ๒ ไถ่ที่ดินพิพาท ค.ไปแจ้งความ จำเลยที่ ๑ จึงถูกฟ้องคดีนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๕ แล้ว หาใช่เพิ่มเข้าไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไม่ การยึดถือครอบครองที่พิพาทในครั้งนั้นเป็นการเข้าครอบครองโดยจำเลยที่ ๑ ถือว่าที่พิพาทเป็นของตน ไม่ใช่เข้าแย่งการครอบครองที่ดินผู้อื่น ซึ่งศาลก็ได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่า ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุก การที่จำเลยที่ ๑ ยังคงครอบครองที่พิพาทต่อมา โดยจ้างจำเลยที่ ๒ ในที่พิพาทเมื่อถึงฤดูทำปอใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าที่พิพาทไม่ใช่ของตนนั้น เป็นเรื่องไม่ยอมสละการครอบครอง หาเป็นความผิดทางอาญาดังฟ้องไม่ เจ้าของที่พิพาทชอบที่จะดำเนินคดีแพ่งกับจำเลยที่ ๑ ต่อไป
พิพากษายืน