คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า พระภิกษุมงคลผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกโจทก์ ได้เอาที่ดินวัดและที่ธรณีสงฆ์วัดน้อยนอกไปให้จำเลยเช่าแล้วมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ศาลในระหว่างพิจารณาคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 แต่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจทำสัญญายอมได้เพราะทางการถอดถอนจากผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกเสียแล้วและทั้ง ๆ ที่พระภิกษุมงคลได้ทราบถึงการที่ตนถูกถอดถอนไม่ให้มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังได้บังอาจไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้กับจำเลย ณ หอทะเบียนที่ดินอีกด้วย จำเลยก็รู้ดีถึงการที่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจ โจทก์จึงถือว่านิติกรรมดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ แต่เนื่องจากจำเลยก็ยังโต้เถียงอยู่ว่า พระภิกษุมงคลได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลผูกพันวัดโจทก์อยู่ จึงชอบที่ศาลจะให้โจทก์จำเลยนำพยานหลักฐานมาสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ในคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยเรื่องละเมิด ขับไล่เรียกค่าเสียหาย ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 ของศาลจังหวัดนนทบุรี คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาพระภิกษุมงคลผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกโจทก์ ได้นำเอาที่ดินวัดและที่ธรณีสงฆ์ของวัดโจทก์ไปให้จำเลยเช่า ต่อมาพระภิกษุมงคลกับจำเลยได้ทำสัญญายอมกันที่ศาลด้วยตนเอง แม้นายเพ็งไวยาวัจกรของวัดโจทก์ และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากพระภิกษุมงคลจะได้ร้องคัดค้านต่อศาลว่าพระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจทำสัญญายอมเพราะได้ถูกถอดถอนจากผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์แล้ว ในที่สุดศาลได้ทำสัญญายอมให้และพิพากษาตามยอม ครั้นต่อมาพระภิกษุมงคลทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายได้จดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้กับจำเลย ณ หอทะเบียนที่ดินจังหวัดโดยแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าตนเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์ จำเลยก็รู้ดีถึงการที่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจที่จะไปจดทะเบียนทำสัญญาเช่าที่พิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวที่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้นั้นเสียให้ที่ดินกลับคืนสู่สถานะเดิมต่อไป

จำเลยให้การว่า พระภิกษุมงคลเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์โดยชอบ การทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลจนศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ย่อมเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเสีย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมสัญญาเช่าที่จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2510 แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลได้พิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 แล้วคู่ความจะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมนั้น หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมนั้นได้ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า พระภิกษุมงคล ธัมมทินโน ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกโจทก์ ได้เอาที่ดินดังกล่าวและที่ธรณีสงฆ์วัดน้อยนอกไปให้จำเลยเช่าแล้วมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ศาลจังหวัดนนทบุรีในระหว่างพิจารณาคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 ยอมให้จำเลยเช่าถึง 25 ปี แต่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจทำสัญญายอมได้ เพราะทางการถอดถอนจากผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกเสียแล้ว และทั้ง ๆ ที่พระภิกษุมงคลได้ทราบถึงการที่ตนถูกถอดถอนไม่ให้มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังได้บังอาจไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้กับจำเลยณ หอทะเบียนที่ดินจังหวัดนนทบุรีอีกด้วย จำเลยก็รู้ดีถึงการที่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจ โจทก์จึงถือว่านิติกรรมดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมสัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้ โดยให้ที่ดินพิพาทกลับคืนสู่สถานะเดิมต่อไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าหากข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้สมฟ้องว่าพระภิกษุมงคลได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและจดทะเบียนการเช่ากับจำเลยโดยไม่มีอำนาจแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมก็ดี การจดทะเบียนการเช่านั้นก็ดีย่อมไม่ผูกพันโจทก์ แต่เนื่องจากจำเลยก็ยังโต้เถียงอยู่ว่าพระภิกษุมงคลได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย มีผลผูกพันวัดโจทก์อยู่จึงชอบที่ศาลจะให้โจทก์จำเลยนำพยานหลักฐานมาสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี

พิพากษายืน

Share