แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยนำผู้เสียหายไปดูที่ดินของ บ. ซึ่งอยู่ติดกับถนน ร.พ.ช ผู้เสียหายจึงตกลงรับซื้อฝากเพราะหลงเชื่อตามที่จำเลยหลอกลวงว่าที่ดินของ บ. คือที่ดินของจำเลยที่จะขายฝากแก่ผู้เสียหาย และหลังจากจำเลยขายฝากที่ดินให้แก่ผู้เสียหายแล้ว จำเลยก็ไม่ได้สนใจขวนขวายจะมาซื้อคืนจากผู้เสียหาย เพราะว่าที่ดินแปลงดังกล่าวกับที่ดินของ บ. ที่จำเลยนำชี้ให้ผู้เสียหายดูมีความแตกต่างกันมากโดยที่ดินของจำเลยมีสภาพเป็นป่า รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปถึง แต่ที่ดินของบ. เป็นที่นาทำประโยชน์ได้แล้วและอยู่ติดถนน ร.พ.ช แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนานำชี้ที่ดินแปลงของ บ. เพื่อหลอกลวงผู้เสียหายว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ประสงค์จะขายฝากแก่ผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินแปลงของจำเลยไว้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 320,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี กับให้จำเลยคืนเงินจำนวน 320,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี คำขอให้คืนเงินจำนวน 320,000 บาท ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2536จำเลยได้ทำนิติกรรมขายฝากที่ดิน น.ส.3 ก. เล่ม 7 ก. หน้า 23 เลขที่ 50 ทะเบียนเลขที่ 623 ตำบลปลาปาก อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เนื้อที่ 49 ไร่ 1 งาน90 ตารางวา ให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 320,000 บาท ปัญหาวินิจฉัยประการแรกมีว่า จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายโดยนำชี้ที่ดินแปลงอื่นทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อหรือไม่ โจทก์มีนายคำนึง ศรีบานเหนือ มาเป็นพยานเบิกความว่า นายคำนึงตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านเลขที่ 30/1 หมู่ 2 ตำบลปลาปาก อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนมเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2536 เวลาประมาณ 11 นาฬิกา ขณะที่นายคำนึง อยู่ที่บ้านดังกล่าว ผู้เสียหายและจำเลยได้ไปพบนายคำนึง เพื่อให้นำไปดูที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลปลาปาก อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม บริเวณถนน ร.พ.ช เนื้อที่จำนวน49 ไร่เศษ ที่ดินดังกล่าวเป็นที่นา จำเลยเป็นผู้นำชี้และบอกนายคำนึงว่าจะนำที่ดินดังกล่าวไปขายฝากแก่ผู้เสียหายในราคา 300,000 บาทเศษ หลังจากดูที่ดินแล้วนายคำนึงแนะนำผู้เสียหายว่าที่ดินน่าซื้อ ผู้เสียหาย และจำเลยได้กลับมาส่งนายคำนึงที่บ้าน และโจทก์มีผู้เสียหายมาเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาขายฝากจำเลยไม่ได้มาไถ่ถอนการขายฝาก ต่อมาเมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน2538 ผู้เสียหายได้ไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอปลาปาก เพื่อขอให้รังวัดที่ดิน ได้พบนายเฉลิมพล นุชสาย เจ้าหน้าที่รังวัดที่ดิน นายเฉลิมพลได้ตรวจ น.ส.3 ก.ที่จำเลยนำมาขายฝากกับระวางที่ดินของสำนักงานที่ดินแล้วแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวไม่ได้ติดถนน ร.พ.ช แต่ติดกับถนนสายอื่น หลังจากนั้นผู้เสียหายและนายเฉลิมพลได้ไปหานายลอง เสนจันตะ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมก่อนที่จะนำมาขายให้แก่จำเลยเพื่อสอบถามแนวที่ดิน นายลองแจ้งว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. แปลงนี้เป็นพื้นที่ป่ายังไม่ได้ทำประโยชน์และไม่ได้อยู่ติดถนน ร.พ.ช ตามที่จำเลยนำชี้ ต่อมาประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2538ผู้เสียหาย นายคำนึง และนายวรวัฒน์ ดีคำย้อย ได้ไปดูที่ดินตามที่จำเลยเคยชี้และสอบถามบุคคลในละแวกนั้นทราบว่าที่ดินที่จำเลยเคยชี้เป็นที่ดินของนายใบอุ่นคำ ผู้เสียหายกับพวกจึงไปหานายลองเพื่อให้ชี้แนวเขตที่ดินตาม น.ส.3 ก.ที่จำเลยนำไปขายฝาก นายลองให้บุตรเขยเป็นผู้พาไปชี้แนวเขตที่ดินทางไปยังที่ดินเป็นทางเกวียน รถยนต์ไม่สามารถแล่นเข้าไปได้ ต้องจอดรถและเดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร สภาพที่ดินเป็นป่า ต้นไม้ใหญ่ถูกตัดและนายลองได้แจ้งให้ทราบว่าหลังจากขายที่ดินให้จำเลยแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ นายสถิตย์ ไชยสิทธิ์มาว่าจ้างนายลองให้ทำการตัดต้นไม้ดังกล่าวโดยแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้มาว่าจ้างผู้เสียหายจึงทราบว่าถูกจำเลยหลอกลวง เห็นว่า หากผู้เสียหายทราบตั้งแต่แรกว่าที่ดินที่แท้จริงที่ตนประสงค์จะซื้อฝากเป็นที่ดินแปลงใดก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเบิกความปรักปรำกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องได้รับโทษ เพราะได้ที่ดินสมประสงค์ไปแล้ว เว้นแต่จะเป็นที่ดินคนละแปลง จำเลยเองก็นำสืบว่าก่อนตกลงทำนิติกรรมขายฝาก จำเลยและผู้เสียหายได้เดินทางไปดูที่ดิน แต่ระหว่างทางได้ทราบจากเพื่อนของนายทรัพย์ว่าที่ดินมีสภาพเป็นป่า ผู้เสียหายจึงไม่ไปดู แสดงให้เห็นว่าการตรวจสอบสภาพที่ดินเป็นสาระสำคัญก่อนตกลงซื้อขายฝากกัน เนื่องจากผู้เสียหายจะได้แน่ใจว่าที่ดินนั้นมีราคาคุ้มกับจำนวนเงินที่จะซื้อฝากไว้ ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าจำเลยนำผู้เสียหายไปดูที่ดินของนายใบซึ่งอยู่ติดกับถนน ร.พ.ช ผู้เสียหายจึงตกลงรับซื้อฝากเพราะหลงเชื่อตามที่จำเลยหลอกลวงว่าที่ดินของนายใบคือที่ดินของจำเลยที่จะขายฝากแก่ผู้เสียหาย แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันบ้างโดยนายคำนึงเบิกความว่าไปดูที่ดินที่จำเลยนำชี้ครั้งเดียว แต่ผู้เสียหายเบิกความว่าหลังจากจำเลยไม่ได้มาไถ่ถอนการขายฝากแล้วนายคำนึงได้ไปดูที่ดินกับผู้เสียหายอีก ก็เป็นพลความ ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ต่อไปอีกว่า หลังจากจำเลยขายฝากที่ดินน.ส.3 ก. ที่จำเลยซื้อจากนายลองให้แก่ผู้เสียหายแล้วจำเลยไม่ได้สนใจขวนขวายจะมาซื้อคืนจากผู้เสียหาย ทั้งนี้เพราะว่าที่ดินแปลงดังกล่าวกับที่ดินของนายใบที่จำเลยนำชี้ให้ผู้เสียหายดูมีความแตกต่างกันมาก โดยที่ดินของนายลองมีสภาพเป็นป่ารถยนต์ไม่สามารถเข้าไปถึง แต่ที่ดินของนายใบเป็นที่นาทำประโยชน์ได้แล้วและอยู่ติดถนน ร.พ.ช แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนานำชี้ที่ดินแปลงของนายใบเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ประสงค์จะขายฝากแก่ผู้เสียหายทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินแปลงของจำเลยไว้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง”
พิพากษายืน