คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1866/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีเจตนาทุจริตนำชี้ที่ดินแปลงของผู้อื่นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ประสงค์จะขายฝากแก่ผู้เสียหายทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินแปลงของจำเลยไว้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 320,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี กับให้จำเลยคืนเงินจำนวน 320,000 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปีคำขอให้คืนเงินจำนวน 320,000 บาท ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15พฤศจิกายน 2536 จำเลยได้ทำนิติกรรมขายฝากที่ดิน น.ส.3 ก. เล่ม 7 ก.หน้า 23 เลขที่ 50 ทะเบียนเลขที่ 623 ตำบลปลาปาก อำเภอปลาปากจังหวัดนครพนม เนื้อที่ 49 ไร่ 1 งาน 90 ตารางวา ให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน320,000 บาท

ปัญหาวินิจฉัยประการแรกมีว่า จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายโดยนำชี้ที่ดินแปลงอื่นทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อหรือไม่ เห็นว่า หากผู้เสียหายทราบตั้งแต่แรกว่าที่ดินที่แท้จริงที่ตนประสงค์จะซื้อฝากเป็นที่ดินแปลงใดก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเบิกความปรักปรำกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องได้รับโทษ เพราะได้ที่ดินสมประสงค์ไปแล้ว เว้นแต่จะเป็นที่ดินคนละแปลง จำเลยเองก็นำสืบว่า ก่อนตกลงทำนิติกรรมขายฝากจำเลยและผู้เสียหายได้เดินทางไปดูที่ดิน แต่ระหว่างทางได้ทราบจากเพื่อนของนายทรัพย์ว่าที่ดินมีสภาพเป็นป่า ผู้เสียหายจึงไม่ไปดู แสดงให้เห็นว่าการตรวจสอบสภาพที่ดินเป็นสาระสำคัญก่อนตกลงซื้อขายฝากกัน เนื่องจากผู้เสียหายจะได้แน่ใจว่าที่ดินนั้นมีราคาคุ้มกับจำนวนเงินที่จะซื้อฝากไว้ ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าจำเลยนำผู้เสียหายไปดูที่ดินของนายใบซึ่งอยู่ติดกับถนน ร.พ.ช. ผู้เสียหายจึงตกลงรับซื้อฝากเพราะหลงเชื่อตามที่จำเลยหลอกลวงว่าที่ดินของนายใบคือที่ดินของจำเลยที่จะขายฝากแก่ผู้เสียหาย แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันบ้างโดยนายคำนึงเบิกความว่าไปดูที่ดินที่จำเลยนำชี้ครั้งเดียว แต่ผู้เสียหายเบิกความว่าหลังจากจำเลยไม่ได้มาไถ่ถอนการขายฝากแล้วนายคำนึงได้ไปดูที่ดินกับผู้เสียหายอีก ก็เป็นพลความ ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ต่อไปอีกว่า หลังจากจำเลยขายฝากที่ดิน น.ส.3 ก. ที่จำเลยซื้อจากนายลองให้แก่ผู้เสียหายแล้วจำเลยไม่ได้สนใจขวนขวายจะมาซื้อคืนจากผู้เสียหายทั้งนี้เพราะว่าที่ดินแปลงดังกล่าวกับที่ดินของนายใบที่จำเลยนำชี้ให้ผู้เสียหายดูมีความแตกต่างกันมากโดยที่ดินของนายลองมีสภาพเป็นป่ารถยนต์ไม่สามารถเข้าไปถึง แต่ที่ดินของนายใบเป็นที่นาทำประโยชน์ได้แล้วและอยู่ติดถนน ร.พ.ช. แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนานำชี้ที่ดินแปลงของนายใบเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ประสงค์จะขายฝากแก่ผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินแปลงของจำเลยไว้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share