แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม ทำใบส่งชุบนอต สกรู และแหวนอีแปะต่าง ๆ ของโจทก์ร่วมไปยังโรงชุบ ฮ. ของ ณ. และจากนั้นแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่า สินค้าบางส่วนจำเลยที่ 1 ซื้อจากโจทก์ร่วมแล้ว เป็นเหตุให้ ณ. หลงเชื่อนำสินค้าบางส่วนดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่จำเลยทั้งสี่หรือยอมให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มารับสินค้าบางส่วนของโจทก์ร่วมไปจาก ณ. การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
เอกสารที่จำเลยที่ 1 ลักไปจากโจทก์ร่วมเป็นแบบฟอร์มใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าที่ยังไม่มีข้อความ ไม่เป็นเอกสาร คงเป็นแบบพิมพ์ที่ยังไม่กรอกข้อความ จึงมีสภาพเป็นทรัพย์ธรรมดา ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188
การปลอมใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าแต่ละฉบับระบุวันเดือนปี และสินค้าแตกต่างจากกันเป็นการกระทำให้เห็นถึงการแยกเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะให้เกิดผลแตกต่างกัน แม้บางฉบับจะระบุทำในวันเดียวกันก็หาทำให้เป็นกรรมเดียวกันแต่อย่างใดไม่ ถ้าจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะทำผิดเพียงกรรมเดียวก็สามารถทำเพียงฉบับเดียวได้ จึงเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะแยกการกระทำต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนรวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยทั้งสองในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เรียกจำเลยทั้งสองในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ตามลำดับ
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 188, 264, 265, 268, 335, 336 ทวิ ประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1, 86/13, 90/4 (3) ริบใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าปลอม รถกระบะของกลาง ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์เอกสารที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 100 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์นอต สกรู ที่ยังไม่ได้คืน ราคา 54,257.50 บาท แก่ผู้เสียหาย
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 268, 335, 336 ทวิ, 357 ริบเอกสารต้นฉบับใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าปลอม รถกระบะของกลาง และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนราคา 54,257.50 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทกรุงเทพสกรูไทย (1999) จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 265, 335 (11) วรรคแรก ประมวลรัษฎากร มาตรา 86/13, 90/4 (3) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารกับฐานลักทรัพย์ของนายจ้างกระทงแรก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ของนายจ้างซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานลักทรัพย์ของนายจ้างกระทงที่สอง จำคุก 3 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิกับฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 7 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 8 เดือน ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน สำหรับใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า เป็นเงิน 100 บาท ส่วนสินค้านอต สกรู เป็นเงิน 54,257.50 บาท แก่โจทก์ร่วม ริบใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าของกลาง ส่วนรถกระบะ หมายเลขทะเบียน รษ 2121 กรุงเทพมหานคร ให้คืนแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตามฟ้อง ข้อ 1.2 และยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคานอต สกรู เป็นเงิน 54,257.50 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยอัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกาโจทก์ว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมรับฟังได้มั่นคงว่า จำเลยที่ 1 ทำใบส่งชุบนอต สกรู และแหวนอีแปะต่าง ๆ ไปยังโรงชุบฮงแชของนายณัฐพล และจากนั้นแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่า สินค้าบางส่วนจำเลยที่ 1 ซื้อจากโจทก์ร่วมแล้ว เป็นเหตุให้นายณัฐพลหลงเชื่อจึงนำไปส่งมอบให้แก่จำเลยทั้งสี่หรือยอมให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มารับสินค้าของโจทก์ร่วมไปจากนายณัฐพล การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักรับฟัง คงมีข้อวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นพี่ชายจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นน้องชายจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นบุคคลเครือญาติใกล้ชิดกัน ซึ่งเดิมจำเลยทั้งสี่มิได้ประกอบอาชีพขายนอต สกรู และแหวนอีแปะต่าง ๆ เช่นเดียวกับโจทก์ร่วม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 มาทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมแล้วจึงอาศัยช่องทางดังกล่าวร่วมกันขายสินค้าแข่งกับโจทก์ร่วม โดยซื้อจากบุคคลภายนอกบางส่วนมาร่วมกันขาย นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยังมาซื้อสินค้าที่ร้านโจทก์ร่วม และฉ้อโกงสินค้าของโจทก์ร่วมไปจากโรงชุบฮงแช พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานฉ้อโกง แต่ไม่ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญและเกินคำขอ ทั้งไม่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ อีกทั้งจำเลยทั้งสี่มิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ร่วมได้ แต่เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ที่เป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมกระทำความผิดโดยที่จำเลยที่ 1 มิได้สำนึกถึงบุญคุณของโจทก์ร่วมให้โอกาสทำงานตามที่จำเลยที่ 1 ไปของานทำเพื่อได้รับเงินเดือนสำหรับเลี้ยงชีพตน จึงเห็นควรลงโทษจำเลยที่ 1 หนักกว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาตรงกันว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของโจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เอกสารที่จำเลยที่ 1 ลักไปจากโจทก์ร่วมเป็นแบบฟอร์มใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าที่ยังไม่มีข้อความ จึงไม่เป็นเอกสาร คงเป็นแบบพิมพ์ที่ยังไม่กรอกข้อความ จึงมีสภาพเป็นทรัพย์ธรรมดา ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นวินิจฉัยได้
มีข้อวินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่กรอกข้อความในใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมขายสินค้าให้แก่ร้านกุลเจริญของจำเลยทั้งสี่จำนวน 18 ฉบับ เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกันหรือไม่ เห็นว่า การปลอมใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้าแต่ละฉบับระบุวันเดือนปี และสินค้าแตกต่างจากกัน เป็นการกระทำให้เห็นถึงการแยกเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะให้เกิดผลแตกต่างกัน แม้บางฉบับจะระบุทำในวันเดียวกันก็หาทำให้เป็นกรรมเดียวกันแต่อย่างใด ถ้าจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะทำผิดเพียงกรรมเดียวก็สามารถทำเพียงฉบับเดียวได้ จึงเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะแยกการกระทำต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 1 ให้จำคุก 3 ปี ในความผิดฐานนี้หนักเกินไปเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสม ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ร้อยตำรวจโททีปกรบันทึกในสำเนาประจำวันเพียงข้อหายักยอกทรัพย์เพียงข้อหาเดียว โดยไม่ปรากฏขณะแจ้งความร้องทุกข์ความผิดต่อส่วนตัวดังกล่าว นายประวิทย์มิได้รับมอบอำนาจหรือมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ร่วมแต่อย่างใด การแจ้งความร้องทุกข์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ดี การตรวจค้นและจับกุมไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ดี การจับจำเลยที่ 1 และค้นบ้านจำเลยที่ 1 โดยไม่มีหมายก็ดี พันตำรวจตรีทองอยู่ ไม่ได้ร่วมเป็นพนักงานสอบสวนก็ดี พนักงานสอบสวนทราบว่าจำเลยที่ 1 เปลี่ยนชื่อใหม่ก็ดี เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 335 (11) วรรคแรก, 341 ประมวลรัษฎากร มาตรา 86/13, 90/4 (3) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานลักทรัพย์ต้นฉบับใบกำกับภาษี ใบส่งสินค้า ให้จำคุก 1 ปี ฐานฉ้อโกงให้จำคุก 3 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิกับฐานออกใบกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 6 เดือน จำนวน 18 กระทง จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม รวมจำคุก 8 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 2 ปี ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนในส่วนของสินค้านอต สกรู เป็นเงิน 54,257.50 บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ส่วนทรัพย์ต่าง ๆ ที่ยึดเป็นของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดให้คืนแก่เจ้าของ และให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1