คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับ ส. เป็นเพื่อนสนิทกัน ก่อนเกิดเหตุ ส. เคยบอกจำเลยว่า ส. ไม่มีรถใช้ อยากได้รถจักรยานยนต์ไว้ใช้สักคัน ซึ่งแสดงว่าจำเลยทราบว่า ส. ประสงค์จะลักรถจักรยานยนต์มาใช้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุแล้ว ขณะที่จำเลยกับ ส. พากันกลับไปที่ด้านหน้าบริษัท ย. ที่จำเลยจอดรถจักรยานยนต์ของตนไว้ ส. เห็นมีรถจักรยานยนต์หลายคันจอดอยู่ในบริเวณดังกล่าว ส. ได้บอกจำเลยว่าอยากได้รถจักรยานยนต์ไปใช้สักคัน ดังนั้น การที่จำเลยส่งกุญแจรถจักรยานยนต์ให้แก่ ส. ไปทดลองไขดูและยังยืนอยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมที่จะช่วยเหลือ ส. ได้ทันที ทั้งเมื่อ ส. ใช้กุญแจไขและติดเครื่องรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้แล้ว จำเลยกับ ส. ก็ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกัน นอกจากนี้เมื่อพากันกลับไปถึงที่ทำงานของ ส. แล้ว ส. ยังได้พูดขอจำเลยเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้ใช้เอง ตามพฤติการณ์จึงถือได้ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานลักทรัพย์กับ ส. ด้วย มิใช่เป็นผู้ใช้หรือเป็นเพียงผู้สนับสนุน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335, 357 และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 995/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (ที่ถูกมาตรา 335 (7) วรรคแรก) ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน คำขอและข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 86 จำคุก 2 ปี ลดโทษหนึ่งในสาม ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายสมภาร มะโรงมืด ได้ลักรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี 6 ก-4000 ของนายเมธา จันทร์สุวรกุล ผู้เสียหายไป คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นตัวการกระทำผิด ร่วมกับนายสมภารหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายสมภารประกอบคำให้การของนายสมภารในชั้นสอบสวนว่า นายสมภารเป็นเพื่อนสนิทกับจำเลย ก่อนเกิดเหตุนายสมภารเคยบอกจำเลยว่าไม่มีรถใช้อยากได้รถจักรยานยนต์ไว้ใช้สักคัน ในวันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์มารับนายสมภารไปหางานทำที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง โดยไปสอบถามที่บริษัทฟูจิซึ จำกัด ก่อน แต่ทางบริษัทยังไม่รับคนงาน จึงพากันไปถามต่อที่บริษัทสยามคอมเพรสเซอร์ จำกัด ปรากฏว่าคุณวุฒิการศึกษาของจำเลยและนายสมภารไม่ถึง จึงพากันกลับ ก่อนจะกลับออกจาบริษัทสยามคอมเพรสเซอร์ จำกัด ซึ่งทางด้านหน้าของบริษัทมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่หลายคัน นายสมภารได้บอกจำเลยว่าอยากได้รถจักรยานยนต์ไปใช้สักคัน จำเลยจึงส่งกุญแจรถจักรยานยนต์ให้นายสมภารไปลองไขรถจักรยานยนต์คันอื่นที่จอดอยู่ปรากฏว่านายสมภารสามารถไขและติดเครื่องรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี 6 ก-4000 ได้ จากนั้นนายสมภารก็ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปที่โต๊ะสนุกเกอร์ริมถนนสวนเสือ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งนายสมภารทำงานอยู่ โดยมีจำเลยขับรถจักรยานยนต์ของจำเลยตามไปด้วย เมื่อไปถึงโต๊ะสนุกเกอร์ นายสมภารบอกจำเลยว่าขอเอารถไว้ใช้เอง จำเลยก็ยินยอม เห็นว่า จำเลยกับนายสมภารเป็นเพื่อนสนิทกัน ก่อนเกิดเหตุนายสมภารเคยบอกจำเลยว่านายสมภารไม่มีรถใช้ อยากได้รถจักรยานยนต์ไว้ใช้สักคัน ซึ่งแสดงว่าจำเลยทราบว่านายสมภารประสงค์จะลักรถจักรยานยนต์มาใช้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุแล้ว ขณะที่จำเลยกับนายสมภารพากันกลับไปที่ด้านหน้าบริษัทสยามคอมเพรสเซอร์ จำกัด ที่จำเลยจอดรถจักรยานยนต์ของตนไว้ นายสมภารเห็นมีรถจักรยานยนต์หลายคันจอดอยู่ในบริเวณดังกล่าว นายสมภารได้บอกจำเลยว่าอยากได้รถจักรยานยนต์ไปใช้สักคัน ดังนั้น การที่จำเลยส่งกุญแจรถจักรยานยนต์ ให้แก่นายสมภารไปทดลองไขดูและยังยืนอยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมที่จะช่วยเหลือนายสมภารได้ทันที ทั้งเมื่อนายสมภารใช้กุญแจไขและติดเครื่องรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้แล้ว จำเลยกับนายสมภารก็ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกัน นอกจากนี้เมื่อพากันกลับไปถึงที่ทำงานของนายสมภารแล้ว นายสมภารยังได้พูดขอจำเลยเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้ใช้เอง ตามพฤติการณ์จึงถือได้ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานลักทรัพย์กับนายสมภารด้วย มิใช่เป็นผู้ใช้หรือเป็นเพียงผู้สนับสนุน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้ใช้และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share