แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ได้โต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับไม่มีอำนาจสอบสวนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 33)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12(1),18 วรรคสอง,62,81และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2526) มาตรา 4 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91เรียงกระทงลงโทษ รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมายจำคุก 1 เดือน ปรับ 1,400 บาทฐานอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือนปรับ 1,400 บาท รวมจำคุก 2 เดือนปรับ 2,800 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับกักขังแทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยถูกจับกุม และควบคุมตัววันใด ซึ่งตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยถูกจับกุมวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 แต่จำเลยฎีกาว่าวันที่25 ตุลาคม 2535 จึงเป็น ปัญหาข้อเท็จจริงอันนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง