แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ส. ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นที่ดินของรัฐสภา ท. ส. จึงมิได้มีสิทธิครอบครองที่ดินที่ซื้อตามกฎหมาย และต่อมาได้มีการกำหนดให้ที่ดินในท้องที่ที่ดินพิพาทเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 26 (4) กำหนดว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนใดแล้ว เมื่อ ส.ป.ก. จะนำที่ดินแปลงใดในส่วนนั้นไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตปฏิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงนั้น และให้ ส.ป.ก. มีอำนาจนำที่ดินแปลงนั้นมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ และมาตรา 36 ทวิ กำหนดว่า บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ที่ ส.ป.ก. ได้มา ตาม พ.ร.บ. นี้หรือได้มาโดยประการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่ให้ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุ และให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อให้ใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ดังนี้ เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ส. จะมีสิทธิเข้าครอบครองได้ก็แต่โดยการได้รับเอกสารสิทธิจาก ส.ป.ก. เมื่อ ส.ป.ก. ยังมิได้อนุญาตให้ ส. เป็นผู้มีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงยังไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งหลังจาก ส. ยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์แล้วมิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ส. จึงยังไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอย่างใด โดย ส. เพียงแต่อ้างว่าได้ไถปรับที่ดินไว้ หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปี จึงไปดูที่ดินพบว่าจำเลยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว การที่ ส. เพียงแต่ไถปรับที่ดินทิ้งไว้โดยไม่ทำประโยชน์อะไรนานเป็นปี ถือไม่ได้ว่า ส. ได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนในขณะที่จำเลยเข้าไปทำประโยชน์ และที่ดินพิพาทยังคงเป็นของ ส.ป.ก. ส. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานบุกรุกตามฟ้องซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2541 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2542 เวลากลางวัน วันและเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของนางเสวียง ศรีสุข ผู้เสียหาย เพื่อถือการครอบครองที่ดินโดยนำต้นกล้วยและต้นระกำเข้าไปปลูก และทำลายเครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทำการรังวัดและทำเครื่องหมายเขตที่ดินที่จัดสรรให้ผู้เสียหายเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวไว้ ทั้งนี้เพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตน เหตุเกิดที่ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทอยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ในปี 2539 นางเสวียง ศรีสุข ได้ยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก. และนำเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดที่ดินไว้แล้วแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ต่อมาในปี 2541 จำเลยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยปลูกพืชผลต่าง ๆ ในที่ดิน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยรู้ว่าที่ดินพิพาทมีเจ้าของครอบครองอยู่แล้วหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดฐานบุกรุก และพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางเสวียง ซึ่งได้ยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดินไว้ และจำเลยเข้าไปทำประโยชน์โดยมีเจตนาถือการครอบครองที่ดินของนางเสวียง จึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ข้อเท็จจริงได้ความจากนายบุญรอด มารุ่งเรือง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ และนายพิเชษฐ์ พูนทองอินทร์ นิติกรสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดตราด พยานโจทก์ว่า มีการกำหนดให้ที่ดินในท้องที่ที่ดินพิพาทเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเมื่อประมาณปี 2536 ก่อนมีการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว เดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และได้ความจากนางเสวียงและนายกี ศรีสุข สามีนางเสวียงว่า นางเสวียงซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายประทีป ธรรมวิจิตร เมื่อปี 2530 ขณะซื้อนายประทีปยังไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน หลังจากซื้อที่ดินแล้วนางเสวียงและนายกีก็ไม่ได้เข้าทำประโยชน์เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพื้นที่ทหาร จนกระทั่งภายหลังจากยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว ต่อมาประมาณกลางปี 2541 นางเสวียงและนายกีจึงได้ให้นายเม้าบุตรชายว่าจ้างคนนำรถไถไปปรับที่ดินพิพาทเพื่อปลูกต้นยูคาลิปตัส วันที่ 28 สิงหาคม 2542 นางเสวียงจะเข้าไปปลูกต้นยูคาลิปตัสจึงทราบว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้ความว่าขณะที่นางเสวียงซื้อที่ดินพิพาทจากนายประทีป ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นที่ดินของรัฐ นางเสวียงจึงมิได้มีสิทธิครอบครองที่ดินที่ซื้อตามกฎหมาย และต่อมาได้มีการกำหนดให้ที่ดินในท้องที่ที่ดินพิพาทเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4) กำหนดว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนใดแล้ว เมื่อ ส.ป.ก. จะนำที่ดินแปลงใดในส่วนนั้นไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงนั้น และให้ ส.ป.ก. มีอำนาจนำที่ดินแปลงนั้นมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ และมาตรา 36 ทวิ กำหนดว่า บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ที่ ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้หรือได้มาโดยประการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่ให้ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุ และให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ดังนี้ เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน นางเสวียงจะมีสิทธิเข้าครอบครองได้ก็แต่โดยการได้รับเอกสารสิทธิจาก ส.ป.ก. ซึ่งพิจารณาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดแล้วอนุญาตให้นางเสวียงเป็นผู้มีสิทธิเข้าทำประโยชน์ แม้นางเสวียงจะได้ยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดินไว้ ทั้งเจ้าหน้าที่ได้ไปทำการรังวัดที่ดินพิพาทแล้ว แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส.ป.ก. ยังมิได้อนุญาตให้นางเสวียงเป็นผู้มีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท นางเสวียงจึงยังไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งหลังจากยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์แล้วนางเสวียงก็มิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างใด โดยนางเสวียงเพียงแต่อ้างว่าได้ไถปรับที่ดินไว้ หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปี จึงไปดูที่ดินพบว่าจำเลยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว ซึ่งจำเลยนำสืบโต้แย้งอีกว่า ขณะจำเลยเข้าทำประโยชน์นางเสวียงไม่ได้ไถปรับที่ดินไว้แต่อย่างใด แม้จะฟังว่านางเสวียงได้ไถปรับที่ดินจริง แต่การที่นางเสวียงเพียงแต่ไถปรับที่ดินทิ้งไว้โดยไม่ทำประโยชน์อะไรนานเป็นปี ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่านางเสวียงได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนในขณะที่จำเลยเข้าไปทำประโยชน์ และที่ดินพิพาทยังคงเป็นของ ส.ป.ก. นางเสวียงจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานบุกรุกตามฟ้องซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน