คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายและ ว. ไปเที่ยวงานวัด แต่การจราจรติดขัด ว. จอดรถจักรยานยนต์รออยู่บนถนน ขณะเดียวกัน ณ. วิ่งมาต่อยหน้าผู้เสียหาย 1 ครั้ง ผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลย น. และ ย. วิ่งไล่ตาม ณ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ผู้เสียหายวิ่งไปได้ 30 เมตรก็หมดแรงล้มลง จำเลย ณ. น. และ ย. เข้าไปรุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย โดยจำเลยใช้อาวุธมีดดาบฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกมือทั้งสองข้างกันไว้ จึงถูกคมมีด พวกจำเลยรุมเตะผู้เสียหาย แต่มีคนช่วยผู้เสียหายหลบหนีไปได้ ดังนั้น การที่ผู้เสียหายไปเที่ยวงานวัดแล้วพบ ณ. กับจำเลยและพวกนั้นน่าจะเป็นเหตุบังเอิญ และที่ ณ. เข้าไปชกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทันทีและต่อมาก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำและตัดสินใจของ ณ. โดยลำพัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้สมคบกระทำการดังกล่าวกับ ณ. จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลการกระทำดังกล่าวร่วมกับ ณ. แต่จำเลยต้องรับผิดเฉพาะผลการกระทำของตน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 11 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) จำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นว่า วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายณัฐพลหรือดิ้น ทับทิมทอง จำเลยคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2065/2546 ของศาลชั้นต้น ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายณัฐพลมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว ส่วนจำเลยใช้อาวุธมีดดาบฟันผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องจำเลยสำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืน โจทก์ไม่ฎีกาในส่วนนี้ ความผิดฐานดังกล่าวจึงยุติ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนายณรงค์ศักดิ์ โคมทอง ผู้เสียหายและนายวิสูตร เพ็งรัศมี เป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายและนายวิสูตรไปเที่ยวงานเทศกาลสงกรานต์ที่วัดดอนกระเบื้อง แต่ไปยังไม่ถึงวัด เพราะมีคนเล่นสาดน้ำสงกรานต์บนถนนทำให้การจราจรติดขัด นายวิสูตรจอดรถจักรยานยนต์รอ ขณะเดียวกันนายณัฐพลวิ่งมาต่อยหน้าผู้เสียหาย 1 ครั้ง ผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลย นายนุและนายนัยวิ่งไล่ตาม นายณัฐพลใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ผู้เสียหายวิ่งไปได้ 30 เมตร ก็หมดแรงล้มลง จำเลย นายณัฐพล นายนุ และนายนัยเข้าไปรุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย โดยจำเลยใช้อาวุธมีดดาบฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกมือทั้งสองข้างกันไว้ จึงถูกคมมีด พวกจำเลยรุมเตะผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนีไปได้ประมาณ 30 เมตร มีคนขับรถบรรทุกหกล้อพาผู้เสียหายหลบหนีได้ เห็นว่า การที่ผู้เสียหายไปเที่ยวงานสงกรานต์แล้วพบนายณัฐพลกับจำเลยและพวกนั้นน่าจะเป็นเหตุบังเอิญ การที่นายณัฐพลเข้าไปชกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทันทีและต่อมานายณัฐพลก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำและตัดสินใจของนายณัฐพลโดยลำพังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้สมคบกระทำการดังกล่าวกับนายณัฐพล ดังนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลการกระทำดังกล่าวร่วมกับนายณัฐพล แต่จำเลยต้องรับผิดเฉพาะผลการกระทำของตนที่ใช้อาวุธมีดดาบฟันผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share