คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1861/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พนักงานของภัตตาคารรับรถยนต์และกุญแจรถจากผู้มากินอาหารในภัตตาคาร ขับรถไปจอดในที่จอดรถซึ่งเป็นถนนสาธารณะหน้าภัตตาคารแล้วเก็บกุญแจไว้ที่แผงเก็บกุญแจรถ มีใบรับฝากให้โจทก์ไว้ โจทก์กินอาหารแล้วออกมา รถหายไปแล้วเป็นการฝากทรัพย์ ไม่ได้ความว่าจำเลยใช้ความระวังเสมือนการเก็บรักษารถของจำเลยเอง จำเลยต้องรับผิดใช้ราคารถแก่โจทก์

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถยนต์ 50,000บาทแก่โจทก์ กับดอกเบี้ย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 15พฤศจิกายน 2518 โจทก์กับพวกประมาณ 10 กว่าคนใช้รถยนต์ 4 คัน เป็นของโจทก์ 1 คัน หมายเลขทะเบียน ก.ท.ท – 4507 ซื้อมาในราคา 82,000 บาทแล้วยกเครื่องใหม่ ติดเครื่องปรับอากาศและเทปบันทึกเสียงรวมราคาทั้งหมด90,000 บาทเศษ พากันไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารคนเห็นซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสอง และจำเลยที่ 2 เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 โจทก์กับพวกถึงภัตตาคารดังกล่าวเวลาประมาณ 19 นาฬิกาเศษ เมื่อโจทก์กับพวกเลี้ยวรถถึงหน้าภัตตาคาร ก็มีพนักงานของจำเลยสวมเสื้อกั๊กสีแดงทับเครื่องแต่งตัวเพื่อให้สังเกตได้ง่ายเข้ามาบริการเชิญโจทก์และพวกลงจากรถยนต์ไปรับประทานอาหารและบอกว่าจะนำรถยนต์ของโจทก์กับรถยนต์ของพวกโจทก์ไปเก็บให้เรียบร้อยแล้วพนักงานผู้นั้นนำใบรับฝากรถยนต์มอบให้โจทก์ ซึ่งในใบรับฝากได้กรอกทะเบียนรถยนต์ของโจทก์ไว้ด้วย การออกใบรับก็เพื่อเมื่อรับประทานอาหารเสร็จจะได้นำใบรับมารับรถยนต์คืนได้ เมื่อโจทก์กับพวกลงจากรถยนต์เรียบร้อยแล้วพนักงานของภัตตาคารก็ขับรถยนต์ไปจอดที่ถนนสาธารณะหน้าภัตตาคารแล้วพนักงานของภัตตาคารก็นำกุญแจรถยนต์ไปแขวนรวมไว้ที่แผงตรงหน้าทางเข้าภัตตาคาร โจทก์กับพวกรับประทานอาหารเสร็จเวลาประมาณ 22 นาฬิกาเศษแล้ว ขอรับรถยนต์คืนโดยนำใบรับฝากมอบแก่พนักงานของภัตตาคารพนักงานผู้นั้นไปหยิบกุญแจรถยนต์จากแผงวิ่งไปเอารถยนต์ที่นำไปจอดไว้แต่หายไปนาน พนักงานผู้นั้นจึงเอากุญแจรถยนต์มาส่งให้โจทก์ และบอกว่าให้โจทก์ไปหารถยนต์เอาเองเพราะหาไม่พบ โจทก์ไปหารถยนต์แต่ปรากฏว่าหายไป โจทก์จึงกลับมาส่งเสียงโวยวายที่แผงเก็บกุญแจรถยนต์ จำเลยทั้งสองนำรถยนต์ของภัตตาคารพาโจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน” ฯลฯ

“จำเลยทั้งสองฎีกาประการแรกว่า ได้ดำเนินกิจการค้าในรูปภัตตาคารมิใช่รับฝากรถยนต์ การที่มีพนักงานมารับรถยนต์จากลูกค้าไปจอดเป็นการบริการเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าเท่านั้น ผู้รับรถยนต์ไปจากโจทก์ มิใช่เป็นลูกจ้างของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเป็นการรับฝากทรัพย์ไม่เป็นการถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่าร้อยตำรวจตรีสันติ สันติกุล พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน พยานโจทก์ได้เบิกความรับรองเอกสารสำนวนการสอบสวนซึ่งโจทก์อ้างมาเป็นพยาน ปรากฏจากเอกสารคือแบบรายงานแผนประทุษกรรม พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ว่าพนักงานต้อนรับของภัตตาคารได้ขับรถยนต์ของโจทก์ไปจอดเก็บในที่จอดรถซึ่งเป็นถนนสาธารณะหน้าภัตตาคารแล้วพนักงานขับรถยนต์ได้เก็บกุญแจรถยนต์ของโจทก์ไว้ในที่เก็บกุญแจหน้าประตูทางเข้าภัตตาคารและออกบัตรสำหรับรถยนต์ให้โจทก์ นอกจากนี้นายสันทัด อุทัยเวช ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่าตนเป็นพนักงานของภัตตาคารคนเห็น และพักอาศัยอยู่ที่ภัตตาคารคนเห็น ทำหน้าที่ออกบัตรให้กับลูกค้าที่นำรถยนต์มาจอดหน้าภัตตาคารและออกบัตรให้กับพนักงานขับรถของภัตตาคารอีกคนหนึ่งนำรถยนต์ไปจอดเก็บ ซึ่งเป็นบัตรคู่กันและใช้กับรถยนต์คันเดียวกัน เมื่อโจทก์นำรถยนต์มาจอดที่ภัตตาคารคนเห็นตนก็ได้ปฏิบัติเช่นว่ามานี้ และนายบุญชัยบำรุงราษฎร์ ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าตนพักอาศัยอยู่ที่ภัตตาคารคนเห็นและเป็นพนักงานประจำภัตตาคารแห่งนี้ มีหน้าที่เฝ้ารถยนต์ของลูกค้าซึ่งจอดไว้ที่ถนนบริเวณหน้าภัตตาคารมิให้สูญหาย เมื่อพนักงานขับรถยนต์ของลูกค้าเข้ามาจอด ตนก็มีหน้าที่ให้สัญญาณจอดรถยนต์ให้เรียบร้อย และเมื่อมีรถยนต์คันอื่นจะเข้าออก็ต้องคอยไปบอกพนักงานผู้ขับทุกครั้ง คืนเกิดเหตุได้ทราบจากเพื่อนผู้เป็นพนักงานขับรถยนต์ไปจอดเก็บว่ารถยนต์ของโจทก์หายไป และจากบันทึกตรวจสถานที่เกิดเหตุ พนักงานสอบสวนลงความเห็นว่าพนักงานรับรถยนต์ของภัตตาคารจำเลยเผลอ คนร้ายจึงใช้กุญแจปลอมลักรถยนต์ของโจทก์ไปนอกจากนี้พยานโจทก์คือตัวโจทก์ นายก๊กปอ แซ่ลิ้ม นายชูศักดิ์ อิสระบังเกิดผลนายสมชัย วงศ์อมรอัครพันธ์ และนายสุรเดช เอื้อพงษ์พันธ์ ซึ่งไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้ในคืนเกิดเหตุโดยนำรถยนต์ไปด้วย ได้เบิกความเกี่ยวแก่วิธีปฏิบัติของภัตตาคารในเรื่องรับฝากรถยนต์ตรงกันเป็นที่รับฟังได้ว่าภัตตาคารแห่งนี้ได้จัดให้มีพนักงานออกบัตรรับฝากรถยนต์ พนักงานรับกุญแจจากเจ้าของรถยนต์ขับไปจอดเก็บไว้ที่ถนนสาธารณะหน้าภัตตาคาร ตลอดจนมีพนักงานคอยเฝ้าดูแลรถยนต์ของลูกค้าด้วย ทุกคนพักอาศัยและเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสองประจำภัตตาคารแห่งนี้ ฝ่ายจำเลยทั้งสองเพียงแต่สืบปฏิเสธในเรื่องความรับผิดโดยอ้างว่าบุคคลที่มาบริการเกี่ยวแก่รถยนต์ของลูกค้ามิใช่ลูกจ้างของจำเลยหรือภัตตาคาร เมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงยิ่งกว่าพยานจำเลย ฟังได้ว่าพนักงานที่บริการเกี่ยวแก่รถยนต์ของลูกค้าทุกคนเป็นลูกจ้างของภัตตาคารจำเลย และการออกบัตรรับฝากรถยนต์ให้โจทก์ยึดถือไว้ตลอดจนรับกุญแจรถยนต์ไปจากโจทก์เอาไปเก็บไว้ เป็นการรับฝากทรัพย์

จำเลยทั้งสองฎีกาอีกประการหนึ่งว่า หากศาลฎีกาจะฟังว่า การรับรถยนต์จากโจทก์ไปช่วยจอดให้เป็นการรับฝากทรัพย์ ก็เป็นการรับฝากที่ทำให้เปล่าโดยไม่มีบำเหน็จ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 วรรคแรกได้บัญญัติเพียงว่า ผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเองเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังบกพร่องอย่างไร ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นความบกพร่องของจำเลย เพราะจำเลยมีลูกจ้างเป็นพนักงานมีหน้าที่เกี่ยวแก่การรับฝากรถยนต์ของลูกค้าโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่จำเลยและลูกจ้างของจำเลยปฏิบัติการหละหลวมเผลอเรออันเป็นความประมาทเลินเล่อ มิได้ระวังดูแลรักษารถยนต์ของลูกค้าให้ดีและรอบคอบเสมือนกับการเก็บรักษารถยนต์ของจำเลยเอง ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์”

พิพากษายืน

Share