คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21841/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำรับรองการชี้แนวเขตที่ดินเป็นแบบพิมพ์ของทางราชการ มีไว้สำหรับให้ผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินนำไปกรอกข้อความและลงลายมือชื่อแสดงว่าตนครอบครองที่ดินมีอาณาเขตเท่าใด และนำไปประกอบเอกสารอื่นเพื่อให้เจ้าพนักงานกรมส่งเสริมสหกรณ์จัดรูปที่ดินและทำระวางแผนที่ เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) ไม่เป็นเอกสารสิทธิ และเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเพื่อเสนอต่อเจ้าพนักงาน มิใช่เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ จึงมิใช่เอกสารราชการ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 266, 268
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (1), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 266 (1) ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 266 (1) ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คำรับรองการชี้แนวเขตที่ดินดังกล่าว เป็นแบบพิมพ์ของทางราชการมีไว้สำหรับให้ผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินนำไปกรอกข้อความและลงลายมือชื่อแสดงว่าตนครอบครองที่ดินมีอาณาเขตเท่าใด และนำไปประกอบเอกสารอื่นเพื่อให้เจ้าพนักงานกรมส่งเสริมสหกรณ์จัดรูปที่ดินและทำระวางแผนที่ เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) ไม่เป็นเอกสารสิทธิ ปัญหาต่อไปคือ เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการและการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า ลายมือชื่อผู้เสียหายในเอกสาร มิใช่ลายมือชื่อของผู้เสียหาย และนายวีรพันธ์กับนางสาวจิราภรณ์ บุตรชายและบุตรสาวของจำเลยเบิกความว่า ลายมือชื่อของบุคคลทั้งสอง เป็นลายมือของจำเลยซึ่งลงชื่อของบุคคลทั้งสองแทนบุคคลทั้งสองโดยความยินยอมของบุคคลทั้งสอง ซึ่งจำเลยก็นำสืบยอมรับเช่นนั้น ทั้งยอมรับว่าลงลายมือชื่อ แทนผู้เสียหายด้วย แต่อ้างเหตุผลว่ากระทำไปตามข้อตกลงของครอบครัว การที่จำเลยลงลายมือชื่อของนายวีรพันธ์ นางสาวจิราภรณ์และผู้เสียหาย ตามลำดับโดยในเอกสารทั้งสาม ฉบับดังกล่าวมีข้อความพิมพ์ไว้แล้วว่า “ข้าพเจ้ารับรองว่าที่ข้าพเจ้านำชี้แนวเขตที่ดินนี้ถูกต้องแล้ว…” นับว่าเป็นการลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารแล้ว ทั้งนี้ไม่ว่านายวีรพันธ์และนางสาวจิราภรณ์จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ลงลายมือชื่อแทนกันได้ นั้นยังได้ความว่าผู้เสียหายมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยลงลายมือชื่อแทนอีกด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็โดยเจตนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของบุคคลเจ้าของชื่อเหล่านั้นโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสาร แต่จะเป็นเอกสารราชการหรือไม่นั้น เห็นว่า เอกสารทั้งสามฉบับดังกล่าว เป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเพื่อเสนอต่อเจ้าพนักงาน มิใช่เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ เอกสารเหล่านี้จึงมิใช่เอกสารราชการเป็นเพียงเอกสารธรรมดาเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่าเอกสารพิพาททั้งสามฉบับเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน ได้ความต่อมาว่าจำเลยยื่นเอกสารพิพาททั้งสามฉบับนี้ต่อเจ้าพนักงาน จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมด้วย แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว จึงให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอมแต่เพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก แต่เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน และปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และการกระทำของจำเลยไม่ร้ายแรงนัก ทั้งผู้เสียหายได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยจึงให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยเป็นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share