คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1860/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อที่งอกอยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดที่งอกย่อมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงดังกล่าวและเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. โดยหลักส่วนควบด้วยผลของกฎหมายไม่จำต้องรังวัดขึ้นทะเบียนเป็นหลักฐานว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเดิมเสียก่อนแล้วที่งอกจึงจะเป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์ การที่ ส. ขายที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดให้โจทก์ถือว่าได้แบ่งที่ดินมีโฉนดขายแก่โจทก์หาใช่เป็นการขายที่ดินมือเปล่าแต่อย่างใดไม่การซื้อขายที่ดินมีกรรมสิทธิ์จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์กับ ส. เพียงแต่ทำสัญญาซื้อขายกันเองไม่ได้ทำตามแบบจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคแรกโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 300 ตารางวา โดยซื้อจากนายสมชัยหลังจากซื้อที่ดินแล้วโจทก์เข้าครอบครองบำรุงรักษาสภาพที่ดินและต้นกล้วยซึ่งปลูกอยู่ก่อนและนำเสาไม้จำนวน 200 ต้นไปกองไว้เพื่อจะทำการล้อมรั้วต่อมาประมาณเดือนกรกฎาคม 2534 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันบุกรุกโดยใช้รถแทรกเตอร์เข้ามาไถเสาไม้ดังกล่าวออกไปจากที่ดินและได้ปลูกต้นชมพู่ในที่ดินของโจทก์โจทก์ได้รับความเสียหายหากให้ผู้อื่นเช่าที่ดินจะได้ค่าเช่าที่ดินอย่างต่ำปีละ 60,000 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จำนวน 60,000 บาทต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางพ่วงนายสมชัยไม่มีอำนาจขายที่ดินพิพาทให้โจทก์โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่าจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 1550 ตำบลท่าไม้รวกอำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรีร่วมกับบุคคลอื่นอีก4คนทางด้านทิศเหนือของที่ดินจดแม่น้ำเพชรบุรีต่อมาได้เกิดที่งอกจึงกลายเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ 1550 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2534 จำเลยที่ 3 ได้เช่าที่ดินเฉพาะส่วนของนายสมชัยเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2534 จำเลยที่ 3 ได้เช่าที่ดินเฉพาะส่วนของนางพ่วงเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอีกคนหนึ่งได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หลังจากนั้นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1550 ได้ตกลงให้จำเลยที่3ทำสวนเกษตรทางด้านทิศเหนือของที่ดินซึ่งรวมทั้งที่งอกตลอดไปจนจดแม่น้ำเพชรบุรีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้เข้าไถแปรที่ดินปลูกต้นกล้วยและต้นชมพู่โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 12,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1308 บัญญัติว่า”ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่งที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น”เห็นว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดให้ที่งอกริมตลิ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งเมื่อที่งอกอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1550 ที่งอกย่อมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงดังกล่าวและเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสมชัยโดยหลักส่วนควบด้วยผลของกฎหมายไม่จำต้องรังวัดขึ้นทะเบียนเป็นหลักฐานว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเดิมเสียก่อนแล้วที่งอกจึงจะเป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์การที่นายสมชัยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ถือว่าได้แบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1550 ขายแก่โจทก์หาใช่เป็นการขายที่ดินมือเปล่าแต่อย่างใดไม่การซื้อขายที่ดินมีกรรมสิทธิ์จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์กับนายสมชัยเพียงแต่ทำสัญญาซื้อขายกันเองตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ. 1 ไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สัญญาซื้อขายระหว่างนายสมชัยกับโจทก์จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามให้ออกไปจากที่ดินพิพาทได้
พิพากษายืน

Share