คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ให้จำเลยจัดการขายที่ดินจำเลยได้จัดการขายที่ดินของโจทก์ได้สำเร็จย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์ที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาบำเหน็จจึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846แม้จะฟังไม่ได้ว่าได้ตกลงให้ค่านายหน้าแก่กันเป็นจำนวนที่เกินไปจาก11,000 บาท ดังที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จเมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้ ศาลย่อมกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร
ส่วนค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยได้รับมอบให้จัดการโอนขายที่ดินแทนโจทก์ในภายหลังอีกส่วนหนึ่งนั้น แม้จำเลยไม่สามารถนำสืบให้ฟังได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้แน่นอนซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816เมื่อไม่ได้ความว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยเสียไปนั้นเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลก็กำหนดให้ได้ตามที่ควรนับว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายไปเช่นเดียวกัน(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินแก่นางศรีสอางค์เป็นเงิน 15,300 บาท จำเลยได้โอนที่ดินแก่นางศรีสอางค์และได้รับเงินมาแล้ว จำเลยยังไม่ได้ให้เงินแก่โจทก์ ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ขอให้จำเลยช่วยขายที่ดินในราคา 11,000 บาท ถ้าขายได้สูงกว่านี้ ส่วนที่เกินให้เป็นของจำเลย จำเลยได้ตกลงขายที่ดินแก่นางศรีสอางค์เป็นเงิน 15,300 บาท จำเลยได้มอบเงินให้โจทก์ครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งหลังอีก 9,650 บาท โดยจำเลยหักค่าใช้จ่าย 500 บาท ค่ารถอีก 350 บาท โจทก์รับเงินไปจากจำเลยจำเลย 10,650 บาท เป็นการเสร็จสิ้นแล้ว

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยนำสืบไม่ได้ว่ามีข้อตกลงให้จำเลยได้เงินที่ขายได้เกิน 11,000 บาท ค่าใช้จ่ายและค่ารถที่จำเลยอ้างว่าหักไว้ก็ฟังไม่ได้ ทั้งฟังไม่ได้ว่าจำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์ไปแล้วสองครั้ง เป็นเงิน 10,650 บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์ยอมให้เงินส่วนที่เกินจาก 11,000 บาท เป็นของจำเลยหรือไม่นั้น ไม่มีหลักฐานพอที่จะรับฟังตามข้ออ้างของจำเลยได้ จำเลยไม่มีสิทธิจะกันเงินที่ขายได้เกิน 11,000 บาท ไว้เป็นของจำเลย ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์แล้วนั้น ก็ฟังไม่ได้ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยช่วยติดต่อจัดการขายที่ดินของโจทก์สำเร็จ ย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์ที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ จึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 แม้จะฟังไม่ได้ว่าได้ตกลงให้ค่านายหน้าแก่กันเป็นจำนวนที่เกินไปจาก 11,000 บาท ดังจำเลยนำสืบ จำเลยก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ แต่เมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใดและไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้ศาลย่อมกำหนดให้เท่าที่อาจกำหนดได้ตามสมควรส่วนค่าใช้จ่ายที่จำเลยได้รับมอบให้จัดการโอนขายที่ดินแทนโจทก์ในภายหลังอีกส่วนหนึ่งซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่าย 500 บาท ค่ารถ 350 บาทนั้น จำเลยก็ไม่สามารถนำสืบให้ฟังได้อีกเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้แน่นอน ซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 เมื่อไม่ได้ความว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยเสียไปเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลก็กำหนดให้ได้ตามที่ควรนับว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายไปเช่นเดียวกันเงินค่าบำเหน็จนายหน้าและค่าใช้จ่ายในการเป็นตัวแทนนี้ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้รวมเป็นเงิน 800 บาท ซึ่งจำเลยหักออกจากเงินที่ต้องใช้คืนแก่โจทก์ คงเหลือเงินที่จำเลยต้องชำระคืนแก่โจทก์ 14,500 บาท พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 14,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ

Share