แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (3) (ข) ท้าย พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ภาษีป้าย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534 ระบุว่า “ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ” ย่อมแสดงให้เห็นว่าป้ายที่แม้มีเพียงบางส่วนของอักษรไทยอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศก็ถือเป็นป้ายตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (3) (ข) โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีอักษรไทยอยู่ที่ส่วนใดของป้ายอีกหรือไม่ ดังนั้น เมื่อป้ายรายการที่ 4 มีข้อความอักษรไทยอยู่ใต้และต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ จึงเป็นป้ายตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (3) (ข)
สำหรับป้ายรายการที่ 2 และที่ 5 ส่วนบนมีอักษรไทยว่า “โตโยต้า” มีอักษรต่างประเทศว่า “TOYOTA” และมีสัญลักษณ์ ส่วนล่างมีอักษรไทยว่า “โตโยต้าหนองคาย แผนกขาย ศูนย์บริการ แผนกอะไหล่และศูนย์บริการตัวถังและสี” อยู่บนวัสดุปิดผิวเรียบประเภทอลูมิเนียม แม้ส่วนบนและส่วนล่างข้อความจะอยู่บนวัสดุปิดผิวที่ต่างระดับกันและมีขนาดต่างกัน แต่ข้อความทั้งส่วนบนและส่วนล่างต่างก็อยู่บนวัสดุปิดผิวเรียบซึ่งเป็นอลูมิเนียมและสีเดียวกันและอยู่บนโครงสร้างที่ได้ทำในคราวเดียวกัน ทั้งในส่วนข้อความหรือสัญลักษณ์ทั้งส่วนบนและส่วนล่างก็ล้วนเป็นข้อความและสัญลักษณ์แสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าของโจทก์ ทำให้ป้ายส่วนบนและส่วนล่างมีลักษณะเป็นป้ายที่มีความต่อเนื่องกันอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้และเป็นป้ายที่มีอักษรไทยอยู่ใต้และต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ จึงเป็นป้ายตาม (3) (ข)
ส่วนกรณีการคำนวณพื้นที่เพื่อเสียภาษีป้ายนั้น ตาม พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ภาษีป้าย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534 มาตรา 17 ระบุว่า ให้คำนวณภาษีป้ายตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (6) และ (7) และตามอัตราภาษีป้ายที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (6) (ก) ระบุว่า ถ้าเป็นป้ายที่มีขอบเขตกำหนดได้ให้เอาส่วนกว้างที่สุดคูณด้วยส่วนยาวที่สุดของขอบเขตป้ายเป็นตารางเซนติเมตร จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการคำนวณพื้นที่เพื่อเสียภาษีป้ายที่มีขอบเขตนั้นให้คำนวณพื้นที่โดยเอาส่วนกว้างที่สุดคูณด้วยส่วนยาวที่สุดของขอบเขตป้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 197,455.90 บาท และดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง 2,474.77 บาท รวมทั้งสิ้น 199,930.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 197,455.90 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีป้ายและเงินเพิ่มที่ได้รับจากโจทก์ไว้เกิน จำนวน 144,909.10 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันชำระภาษีวันที่ 1 มิถุนายน 2552 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 11 สิงหาคม 2552) ต้องไม่เกิน 2,474.77 บาท ตามที่โจทก์ขอ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายประจำปี 2552 รวม 5 รายการ รายการที่ 1 ป้ายประเภทมีอักษรไทยล้วน ขนาดกว้าง 120 เซนติเมตร ยาว 2,772 เซนติเมตร มีข้อความว่า “ศูนย์บริการมาตรฐาน” และ “ศูนย์บริการตัวถังและสีมาตรฐาน” จำนวน 1 ป้าย รายการที่ 2 ป้ายประเภทมีอักษรไทยล้วน ขนาดกว้าง 295 เซนติเมตร ยาว 1,670 เซนติเมตร มีอักษรไทยว่า “โตโยต้า หนองคาย แผนกขาย ศูนย์บริการ แผนกอะไหล่ ศูนย์บริการตัวถังและสี” จำนวน 2 ป้าย รายการที่ 3 ป้ายประเภทมีอักษรไทยปนอักษรต่างประเทศหรือเครื่องหมาย ขนาดกว้าง 120 เซนติเมตร ยาว 2,035 เซนติเมตร มีอักษรไทยว่า “โตโยต้า” อยู่เหนือสัญลักษณ์และอักษรต่างประเทศว่า “TOYOTA” และแนวเดียวกันมีอักษรไทยว่า “โตโยต้าหนองคาย” จำนวน 1 ป้าย รายการที่ 4 ป้ายประเภทมีอักษรไทยปนอักษรต่างประเทศหรือเครื่องหมาย ขนาด 120 เซนติเมตร ยาว 360 เซนติเมตร มีอีกษรไทยว่า “โตโยต้า” อยู่เหนือสัญลักษณ์และอักษรต่างประเทศว่า “TOYOTA” และมีอักษรไทยถัดลงมาว่า “โชว์รูม ทางเข้า โชว์รูมรถใหม่ อุปกรณ์ประดับยนต์ ศูนย์บริการ ศูนย์บริการตัวถังและสี อะไหล่ ที่จอดรถ” จำนวน 2 ป้าย และรายการที่ 5 ป้ายประเภทมีอักษรไทยปนอักษรต่างประเทศหรือเครื่องหมาย ขนาด 430 เซนติเมตร ยาว 650 เซนติเมตร มีอักษรไทยว่า “โตโยต้า” อยู่เหนือสัญลักษณ์และอักษรต่างประเทศว่า “TOYOTA” จำนวน 2 ป้าย ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีป้ายแก่โจทก์ให้เรียกเก็บภาษีประจำปี 2552 โดยเห็นว่า ป้ายรายการที่ 2 และ 5 เป็นป้ายที่ติดตั้งอยู่ในโครงเหล็กเดียวกันที่ปิดทับด้วยอลูมิเนียมและทำในคราวเดียวกัน แม้จะมีอักษรหรือสัญลักษณ์ไม่เต็มทั้งวัสดุแต่ถือว่าเป็นป้ายเดียวกันทั้งหมดตามขอบเขตของโครงเหล็กซึ่งปิดทับด้วยอลูมิเนียมดังกล่าว ไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อป้ายดังกล่าวมีอักษรไทยอยู่ใต้อักษรต่างประเทศจึงถือเป็นป้ายประเภท (3) (ข) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายท้ายพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534 และมีขนาดส่วนที่กว้างที่สุด 650 เซนติเมตร และมีขนาดส่วนที่ยาวที่สุด 2,100 เซนติเมตร จำนวน 2 ป้าย เมื่อคำนวณภาษีป้ายในอัตรา 40 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตรตาม (3) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 เท่ากับ 218,400 บาท สำหรับป้ายรายการที่ 4 เป็นป้ายที่มีอักษรไทยต่ำกว่าอักษรต่างประเทศถือเป็นป้ายประเภท (3) (ข) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายท้ายพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534 และมีขนาดส่วนที่กว้างที่สุด 120 เซนติเมตร และมีขนาดส่วนที่ยาวที่สุด 360 เซนติเมตร จำนวน 2 ป้าย เมื่อคำนวณภาษีป้ายในอัตรา 40 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตรตาม (3) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 เท่ากับ 6,912 บาท สำหรับป้ายรายการที่ 1 และ 3 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เห็นว่า ตามแบบแสดงรายการภาษีป้ายของโจทก์ถูกต้องตามขนาดและประเภทของป้ายแล้ว โดยรายการที่ 1 คิดเป็นเงินภาษีป้าย 1,996 บาท รายการที่ 3 คิดเป็นเงินภาษีป้าย 9,768 บาท จึงได้ประเมินภาษีป้ายประจำปี 2552 เป็นเงินภาษีป้ายทั้งสิ้น 237,076 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์การประเมิน ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์แก่โจทก์ ให้ยืนตามการประเมิน โจทก์ได้ชำระเงินภาษีป้ายและเงินเพิ่มตามการประเมิน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการแรกตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยให้ป้ายรายการที่ 4 ถือเป็นป้ายประเภท (2) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายชอบหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (3) (ข) ท้ายพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534 ระบุว่า “ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ” การที่ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายระบุชัดเจนโดยมีคำว่า “มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมด” ย่อมแสดงให้เห็นว่าป้ายที่แม้มีเพียงบางส่วนของอักษรไทยอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศก็ถือเป็นป้ายตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (3) (ข) โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีอักษรไทยอยู่ที่ส่วนใดของป้ายอีกหรือไม่ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าป้ายรายการที่ 4 มีข้อความอักษรไทยว่า “โชว์รูม ทางเข้า โชว์รูมรถใหม่ อุปกรณ์ประดับยนต์ ศูนย์บริการ ศูนย์บริการตัวถังและสี อะไหล่ ที่จอดรถ” อยู่ใต้และต่ำกว่าอักษรต่างประเทศคำว่า “TOYOTA” จึงถือเป็นป้ายประเภท (3) (ข) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีอักษรไทยอยู่ที่ส่วนใดของป้ายหรือไม่ ส่วนการที่ป้ายรายการที่ 4 มีข้อความอักษรไทยอีก 1 ข้อความ คือคำว่า “โตโยต้า” อยู่เหนืออักษรต่างประเทศคำว่า “TOYOTA” ก็ไม่ทำให้ป้ายดังกล่าวกลายเป็นป้ายประเภท (2) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายไปได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้โต้แย้งการคำนวณพื้นที่เพื่อเสียภาษีป้าย การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์สำหรับป้ายรายการที่ 4 จึงชอบแล้ว การที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าป้ายรายการที่ 4 เป็นป้ายประเภท (2) ตามบัญชีอัตราภาษีป้าย ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
กรณีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการต่อมาตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสองว่า คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีป้ายสำหรับป้ายรายการที่ 2 และ 5 โดยถือเป็นป้ายเดียวกันในประเภท (2) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายชอบหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า สำหรับป้ายรายการที่ 2 และ 5 ส่วนบนมีอักษรไทยว่า “โตโยต้า” มีอักษรต่างประเทศว่า “TOYOTA” และมีสัญลักษณ์ ส่วนล่างมีอักษรไทยว่า “โตโยต้าหนองคาย แผนกขาย ศูนย์บริการ แผนกอะไหล่ ศูนย์บริการตัวถังและสี” อยู่บนวัสดุปิดผิวเรียบประเภทอลูมิเนียม แม้ส่วนบนและส่วนล่างข้อความจะอยู่บนวัสดุปิดผิวที่ต่างระดับกันและมีขนาดต่างกันก็ตาม แต่ข้อความทั้งส่วนบนและส่วนล่างต่างก็อยู่บนวัสดุปิดผิวเรียบซึ่งเป็นอลูมิเนียมชนิดและสีเดียวกันและอยู่บนโครงสร้างที่ได้ทำในคราวเดียวกัน ตามที่โจทก์ได้ขออนุญาตก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร (แบบ อ.1) ในข้อ 2 (4) เลขที่ 029/2549 ออกให้ ณ วันที่ 9 มกราคม 2549 และแบบแปลนโครงสร้างป้าย ทั้งในส่วนของข้อความหรือสัญลักษณ์ทั้งส่วนบนและส่วนล่างก็ล้วนเป็นข้อความและสัญลักษณ์แสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าของโจทก์ ทำให้ป้ายส่วนบนและส่วนล่างมีลักษณะเป็นป้ายที่มีความต่อเนื่องกันทั้งในเรื่องวัสดุปิดผิว โครงสร้างและข้อความหรือสัญลักษณ์ที่ปรากฏในป้ายบนวัสดุปิดผิวอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้ แม้ข้อความหรือสัญลักษณ์จะติดไม่เต็มวัสดุปิดผิวก็เพื่อความสวยงามและอ่านข้อความง่ายในโครงสร้างชิ้นเดียวกันทุกข้อความในโครงสร้างนั้นเพื่อประโยชน์ในการโฆษณาการค้าของโจทก์ แต่ถือว่าเป็นป้ายที่มีขอบเขตกำหนดได้ตามวัสดุปิดผิวซึ่งเป็นอลูมิเนียมดังกล่าว จึงถือว่าป้ายรายการที่ 2 และ 5 เป็นป้ายเดียวกันไม่อาจแยกการคำนวณภาษีป้ายออกจากกันได้ และปรากฏว่าป้ายดังกล่าวมีข้อความอักษรไทยว่า “โตโยต้าหนองคาย แผนกขาย ศูนย์บริการ แผนกอะไหล่ ศูนย์บริการตัวถังและสี” อยู่ใต้และต่ำกว่าอักษรต่างประเทศคำว่า “TOYOTA” จึงถือเป็นป้ายประเภท (3) (ข) ตามบัญชีอัตราภาษีป้าย โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีอักษรไทยอยู่ที่ส่วนใดของป้าย ส่วนการที่ป้ายดังกล่าวมีข้อความอักษรไทยอีก 1 ข้อความคือคำว่า “โตโยต้า” อยู่เหนืออักษรต่างประเทศคำว่า “TOYOTA” ก็ไม่ทำให้ป้ายดังกล่าวกลายเป็นป้ายประเภท (2) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายไปได้
ส่วนกรณีการคำนวณพื้นที่เพื่อเสียภาษีป้ายนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534 มาตรา 17 ระบุว่า ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีป้ายตามหลักเกณฑ์การคำนวณภาษีป้ายที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีป้าย (6) และ (7) ท้ายพระราชบัญญัตินี้และตามอัตราภาษีป้ายที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งตามบัญชีอัตราภาษีป้าย (6) (ก) ระบุว่า ถ้าเป็นป้ายที่มีขอบเขตกำหนดได้ให้เอาส่วนกว้างที่สุดคูณด้วยส่วนยาวที่สุดของขอบเขตป้ายเป็นตารางเซนติเมตร จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการคำนวณพื้นที่เพื่อเสียภาษีป้ายที่มีขอบเขตตามกฎหมายนั้นให้คำนวณพื้นที่โดยเอาส่วนกว้างที่สุดคูณด้วยส่วนยาวที่สุดของขอบเขตป้าย เมื่อกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 ให้คำนวณภาษีป้ายประเภท (3) (ข) ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศในอัตรา 40 บาท ต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร ประกอบกับโจทก์ไม่ได้ปฏิเสธถึงขนาดของป้ายว่า ส่วนที่กว้างที่สุดของป้ายดังกล่าวมีขนาด 650 เซนติเมตร และขนาดความสูงส่วนบนเท่ากับ 430 เซนติเมตร และส่วนล่างเท่ากับ 1,670 เซนติเมตร จึงมีความยาวที่สุดเท่ากับ 2,100 เซนติเมตร ดังนั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีป้ายดังกล่าวโดยนำความกว้างที่สุดคูณความยาวที่สุดดังกล่าวแล้วนำมาคำนวณอัตราภาษีป้ายในอัตรา 40 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร จึงถูกต้องแล้ว เมื่อโจทก์ไม่โต้แย้งการประเมินสำหรับป้ายรายการที่ 1 และ 3 การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้คืนเงินบางส่วนแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ