แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ติดต่อกันรวม 9 ครั้ง ครั้งละ3 เดือนบ้าง6 เดือนบ้าง ครั้งสุดท้ายมีกำหนด 1 เดือน ทั้งนี้เพราะมีความจำเป็นตามฤดูกาลทางเกษตรกรรม ซึ่งไม่แน่นอนว่าจะหมดเมื่อใด จึงเป็นการจ้างที่มิได้ ถือเอาระยะเวลาเป็นสำคัญ หากแต่ถือเอาความจำเป็นของจำเลยเป็นเหตุในการเลิกจ้าง ฉะนั้น กำหนดระยะเวลาการจ้างย่อมไม่มีผลบังคับอย่างแท้จริง เพราะจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์เมื่อใดก็ได้หากความจำเป็นหมดไป จึงถือไม่ได้ว่า เป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนอันจำเลยได้รับยกเว้นไม่จ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างตามกำหนดนั้น
การจ่ายค่าชดเชยเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหากฝ่าฝืนเป็นความผิดทางอาญาถือว่าเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังนั้น การที่ลูกจ้างทำหนังสือสละสิทธิไม่เรียกร้องค่าชดเชยจึงหาทำให้สิทธิของลูกจ้างที่จะได้รับค่าชดเชยระงับไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ โดยทำสัญญาจ้างเป็นคราว ๆ หลายครั้งติดต่อกัน ระบุในสัญญาแต่ละครั้งว่าโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราว โจทก์ทำงานติดต่อกันเกิน ๑๒๐ วัน มีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างประจำ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และไม่จ่ายค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวต่อเนื่องกันโดยทำสัญญาเป็นคราว ๆ เพราะมีความจำเป็นเนื่องจากหน้าที่ธุรการเป็นงานตามฤดูกาลทางเกษตรกรรมการจ้างครั้งสุดท้ายงานตามฤดูกาลดังกล่าวได้หมดลงตามสัญญาจึงถือว่าจำเลยได้เลิกจ้างตามสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดเวลานั้นแล้วทั้งโจทก์ได้บันทึกตกลงที่จะไม่เรียกร้องใด ๆ รวมทั้งค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า สัญญาจ้างเป็นการจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย โจทก์จำเลยจะทำข้อตกลงว่าจำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์หาได้ไม่ จำเลยได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าแก่โจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาได้ความว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างมีกำหนด ๓ เดือน และได้ทำสัญญาจ้างติดต่อกันมารวม ๙ ครั้ง ครั้งละ ๓ เดือนบ้าง ๖ เดือนบ้าง ครั้งสุดท้ายมีกำหนด ๑ เดือน การจ้างติดต่อกันดังกล่าวเพราะมีความจำเป็นตามฤดูกาลทางเกษตรกรรม ซึ่งฤดูกาลดังกล่าวไม่เป็นการแน่นอนว่าจะหมดเมื่อใด หากยังมีอยู่ต่อไปจำเลยก็จ้างโจทก์ต่อไปอีกและหากหมดฤดูกาลทางเกษตรก่อน จำเลยก็เลิกจ้างก่อนกำหนดสัญญาได้ จึงเห็นได้ว่าการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ถือเอาระยะเวลาการจ้างเป็นสำคัญ หากแต่ถือเอาความจำเป็นของจำเลยเป็นเหตุในการเลิกจ้างตามสัญญา ฉะนั้น กำหนดระยะเวลาการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งได้ทำสัญญาติดต่อกันมา จนกระทั่งสัญญาจ้างครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง ย่อมไม่มีผลบังคับอย่างแท้จริง เพราะก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าวตามสัญญาจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์เสียเมื่อใดก็ได้ หากความจำเป็นของจำเลยหมดไป จึงถือไม่ได้ว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนอันจำเลยได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างตามกำหนดนั้น
การจ่ายค่าชดเชยเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานการฝ่าฝืนเป็นความผิดทางอาญา ถือว่าเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่โจทก์ทำหนังสือสละสิทธิไม่เรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลย จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับค่าชดเชยจากจำเลยระงับไปไม่
พิพากษายืน