แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภรรยาเป็นโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กผู้เป็นบุตรเรียกทรัพย์ของสามีผู้เป็นบิดาของบุตรจากปู่ของบุตร ดังนี้ แม้การฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็ก จะไม่ชอบเพราะเป็นอุทลุมแต่ที่ฟ้องในฐานะส่วนตัวยังสมบูรณ์อยู่ ฉะนั้นอัยการในนามของเด็กบุตรโจทก์ย่อมมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเด็กให้ได้รับความคุ้มครองได้
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยโดยอ้างว่า เป็นของผู้ตายและโจทก์เป็นทายาท เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า เป็นทรัพย์ของผู้ตายกับจำเลยคนละครึ่งและจำเลยก็เป็นทายาทผู้หนึ่งด้วยเหมือนกัน ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งทรัพย์รายนั้นออกเป็น 2 ส่วนก่อนแล้วให้แบ่งส่วนของผู้ตายให้แก่โจทก์จำเลยผู้เป็นทายาทตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
อัยการในนามของเด็กฟ้องเรียกมรดกของบิดาเด็กจากปู่ของเด็กเมื่อเด็กบางคนตายในระหว่างคดี อัยการก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์สำหรับเด็กคนที่ตายนั้นต่อไป แต่ศาลก็พิพากษาให้เด็กที่ยังอยู่ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนที่มีอยู่เดิม ส่วนของเด็กที่ตายซึ่งเหลือจากแบ่งให้เด็กที่ยังอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะเรียกร้องกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ฟ้องเรียกเงินทั้งหมดได้ความว่า เป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน ศาลพิพากษาให้แบ่งไปเลยแต่โจทก์ไม่สมควรได้ดอกเบี้ย
ย่อยาว
นางเฮียง สภารัตน์ โจทก์ ฟ้องว่าเป็นภรรยานายสมพงษ์ สภารัตน์ผู้ตาย เกิดบุตรด้วยกัน 6 คน คือโจทก์ในคดีนี้ นายสมพงษ์ตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ โจทก์กับบุตร 6 คนจึงเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายสมพงษ์ นายสุยจำเลยเป็นบิดานายสมพงษ์ นายใหญ่จำเลยเป็นน้องนายสมพงษ์ จำเลยทั้ง 2 ได้เอาข้าวของโจทก์และนายสมพงษ์ไปขายแก่ผู้อื่น ได้เงินมาแล้วไม่ยอมมอบให้โจทก์ ๆ จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้
ก่อนวันนัดพิจารณา อัยการจังหวัดสุรินทร์ได้ยื่นคำร้องเข้ามามาเป็นโจทก์ร่วมกับนางเฮียงโจทก์ในนามของผู้เยาว์ทั้ง 6 ซึ่งเป็นบุตรนางเฮียงโจทก์ โดยถือเอาคำฟ้องของนางเฮียงโจทก์เป็นคำฟ้องของอัยการด้วย ศาลอนุญาต
นางเฮียง นายเย็นขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
เมื่อสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ก่อนศาลชั้นต้นตัดสินปรากฏว่าเด็กชายสนั่นโจทก์ตายอีกคนหนึ่ง และไม่ปรากฏว่ามีผู้ขอรับมรดกความ
ศาลชั้นต้นฟังว่า นางเฮียงโจทก์แต่งงานกับนายสมพงษ์ ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จึงเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้าวที่ขายเป็นของนายสุยจำเลยที่ 1 กับของนายสมพงษ์ผู้ตายคนละครึ่ง ส่วนของผู้ตายเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์กับบุตรโจทก์และนายสุยคนละส่วนรวม 7 ส่วน เพราะส่วนของเด็กชายสนั่นบุตรโจทก์นั้น ตายเสียในระหว่างพิจารณา ไม่มีผู้มีสิทธิจะรับมรดกแทนที่
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นางเฮียงโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายสมพงษ์ จึงไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกของนายสมพงษ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนางเฮียงในฐานะส่วนตัวแล้ว ให้แบ่งส่วนของนายสมพงษ์ให้แก่นายสุยจำเลยกับบุตรโจทก์ทั้ง 6 คน รวม 7 คน ๆ ละส่วน ของด.ช.สนั่นให้มารดาและพี่ของ ด.ช.สนั่นรับไป
คู่ความทุกฝ่ายฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น นางเฮียงเป็นโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กบุตรโจทก์ แม้การฟ้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กจะไม่ชอบเนื่องจากกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องบุพการีก็ดี แต่ที่นางเฮียงฟ้องในฐานะส่วนตัวก็ยังสมบูรณ์อยู่ ดังนั้นอัยการในนามของเด็กบุตรโจทก์ย่อมมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับนางเฮียง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเด็กให้ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิที่มีอยู่ได้
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ด.ช.สนั่นได้ตายไปในระหว่างคดีทั้งมิได้มีผู้หนึ่งผู้ใดร้องขอรับมรดกความ คดีเกี่ยวกับ ด.ช.สนั่นก็ต้องระงับไปนั้น จริงอยู่ คดีนี้ อัยการเข้ามาเป็นโจทก์เพื่อรักษาประโยชน์ของ เด็กชายสนั่นในการฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบุพการี เมื่อเด็กชายสนั่นตาย อัยการก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง ด.ช.สนั่นต่อไปแต่อย่างไรก็ดีส่วนได้ของเด็กชายสนั่นที่เหลือจากแบ่งให้แก่โจทก์จำเลยไปแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะเรียกร้องกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ส่วนข้อเท็จจริงคงฟังว่า นางเฮียงโจทก์เป็นภรรยานายสมพงษ์นี้ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จึงมีสิทธิได้ส่วนแบ่งสินสมรสและมรดกด้วย ฉะนั้นจึงพิพากษาแก้ให้แบ่งเงินค่าขายข้าวได้ออกเป็นของนายสุยจำเลยส่วน 1 ของนายสมพงษ์ส่วน 1 ส่วนของนายสมพงษ์ให้แบ่งอย่างสินสมรสออกเป็น 3 ส่วน เป็นของนายสมพงษ์ 2 ส่วนของนางเฮียงโจทก์ 1 ส่วน ส่วนของนายสมพงษ์ 2 ส่วนตกเป็นมรดกได้แก่นางเฮียงโจทก์กับบุตร 6 คนและนายสุยจำเลยคนละ 1 ส่วน รวมเป็น 8 ส่วน