คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่ายักยอกเงิน 2 ประเภท กล่าวบรรยายแต่ยอดรวมมาว่า รวมเป็นเงินเท่าใด โดยมิได้แยกออกเป็นรายประเภทไว้ เพราะไม่ปรากฎแน่ชัดว่ายักยอกประเภทละเท่าใด เมื่อฟังว่ายักยอกจริง แต่เงินประเภทหนึ่งได้ขาดอายุความฟ้องร้องเสียแล้วและทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่าประเภทที่ยังไม่ขาดอายุความเป็นเงินเท่าใด ดังนี้ เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยศาลกล่าวว่า ในชั้นนี้จำเลยจึงยังไม่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานบัญชีของโรงพยาบาล มีหน้าที่รักษาเงินรายได้ แต่ได้บังอาจยักยอกเงินไป ๒ ประเภท คือ ประเภทหนึ่ง ยักยอกระหว่าง ๒๗ มิ.ย. ๒๔๙๓ ถึง ๑๖ มี.ค. ๒๕๐๒ อีกประเภทหนึ่งยักยอกระหว่าง ๓ มก.ค. ๒๔๙๓ ถึง ๑๖ มี.ค. ๒๕๐๒ โดยไม่ปรากฎแน่ชัดว่า ยักยอกไปประเภทละเท่าใด รวมเงิน ๒ ประเภท ๒๙๐, ๔๐๙.๐๐ บาท ขอให้ลงโทษจำเลยและขอให้จำเลยสืบหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้หลายประการ และต่อสู้ด้วยว่า คดีขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยักยอกจริงดังฟ้อง พิพากษาลงโทษและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่า ความผิดฐานยักยอกเงินประเภทแรกนั้นโจทก์ฟ้องเกิน ๕ ปี ขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว แต่การยักยอกเงินประเภทหลังยังไม่ขาดอายุความ จึงพากษาแก้ ให้ยกฟ้องเฉพาะการยักยอกเงินประเภทแรก และเมื่อไม่ปรากฎชัดว่าจำเลยยักยอกเงินไปแยกแต่ละประเภทเป็นประเภทละเท่าใด ไม่อาจสั่งให้คืนหรือใช้ได้ ในชั้นนี้จำเลยจึงยังไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share