คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำบรรยายฟ้องคดีอาญาฐานเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกเงินที่ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะได้บรรยายความถึงหน้าที่และการกระทำผิดไว้โดยละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี
จำเลยรับราชการตำแหน่งตรวจคนเข้าเมือง มีหน้าที่รับเงินค่าล่วงเวลาในการไปตรวจควบคุม และ รอคอยพาหนะ รับเงินแล้วยักยอกเอาเป็นประโยชน์ส่วนตน เสียโดยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ให้นำส่ง ผิดตาม ม. 131 ไม่ใช่ ม. 319 (3)
การที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งที่ทำหนังสือราชการและจดทะเบียนบัญชี จำเลยบังอาจจดแจ้งข้อความลงในทะเบียน บัญชีเองอันเป็นเท็จ ผิดตาม ม.230 ไม่ใช่ ม.225, 229

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการตำแหน่งตรวจคนเข้าเมือง มีหน้าที่ตรวจตราบุคคลที่เข้าหรือออกไปนอกราชอาณาจักรไทย และมีหน้าที่ออกใบรับเรียกเก็บเงินค่าล่วงเวลาในการไปตรวจ ควบคุม และรอคอยพาหนะ และเก็บค่าธรรมเนียมอื่น ๆ จัดการลงบัญชีรับจ่าย ฝากเก็บ รักษาเงิน แล้วนำเงินที่เก็บได้ส่งคลังของรัฐบาล เป็นเงินผลประโยชน์ตามคำสั่งของ กระทรวงการคลัง เมื่อระหว่างวันที่ ๕ มิ.ย. ๒๔๙๖ ถึง ๓๐ พ.ย. ๒๔๙๖ เวลากลางวัน จำเลยได้เรียกเก็บและรับเงินค่าทำการล่วงเวลาที่เขตท่าด่านตรวจคนเข้าเมือง รวม ๓๐ ครั้ง เป็นเงิน ๖,๑๑๕ บาท จำเลยได้รับแล้วไม่นำลงบัญชีการเงิน และเอาเงินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ไม่ส่งคลังเป็นเงินผละประโยชน์ และไม่ได้นำส่งเงินไปยังตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดพังงา เพื่อตั้งกรรมการจัดการแบ่งเฉลี่ยให้ผู้มีสิทธิได้รับตามระเบียบ และระหว่างวันที่ ๑ ส.ค. ๒๔๙๖ ถึง ๓๐ พ.ย. ๒๔๙๖ เวลากลางวันจำเลยได้เรียกและรับเงินค่าทำการล่วงเวลา ๑๔ ครั้ง เป็นเงิน ๓,๗๐๐ บาท โดยเขียนใบเสร็จรับเงิน ๑๔ ฉบับ มีจำนวนเงินน้อยกว่า ที่ปรากฏในใบเสร็จที่จำเลยไปเรียกเก็บเป็นเงิน ๑,๓๒๐ บาท จำเลยลงบัญชี
ทะเบียนรับจ่ายเบ็ดเตล็ดไว้ทั้ง ๑๔ ครั้ง เป็นเงิน ๑,๙๘๐ บาท และนำส่งเงินไปยังตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพังงาเพียง ๑,๙๘๐ บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๑๓๑, ๑๓๕, ๓๑๙, ๒๒๒, ๒๒๓, ๒๒๔, ๒๒๕, ๒๒๙, ๒๓๐, ๗๐, ๗๑
จำเลยให้การปฏิเสธและว่าฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์อันจำเลยมีหน้าที่รับมอบหมายตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๓๑๙ (๙) ลงโทษ ๑ ปี กระทงหนึ่ง และมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปลอมหนังสือสำคัญซึ่งอยู่ในหน้าที่จะจดข้อความเท็จตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๒๕, ๒๒๙, ๒๓๐ ให้ลงโทษบทหนักตาม ม. ๒๓๐ จำคุก ๕ ปี กระทงหนึ่ง รวม ๒ กระทง จำคุก ๖ ปี ลดรับกึ่งหนึ่งจำคุก ๓ ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.๑๓๑,๑๓๕
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับ ศาลชั้นต้น พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต ตาม ม. ๑๓๑ กระทง และมีความผิดฐาน ปลอมหนังสือสำคัญในราชการตาม ม.๒๓๐ อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษจำคุก ๖ ปี ลดรับกึ่งหนึ่ง จำคุก ๓ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตามข้อเท็จจริงที่ฟังมานั้น จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ วางบทลงโทษ แต่ในชันฎีกานี้มีประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแล้ว จึงให้เปลี่ยนเป็นวางบทลงโทษตาม ม.๑๔๗, และ แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย

Share