คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18538/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.อ. มาตรา 13 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่…พยานไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทย…และไม่มีล่าม ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการหรือศาลจัดหาล่าม…ให้ถามตอบหรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นที่เห็นสมควร” จากบทบัญญัติดังกล่าวบ่งชี้ว่า “ผู้ที่จะเป็นล่ามจะเป็นบุคคลใดก็ได้ที่มีความสามารถในการเป็นล่ามแต่จะต้องมิใช่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการหรือศาลซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ในการสอบสวนหรือซักถามพยานนั้น ได้ความว่าในการสอบสวน จ. และ ม. ผู้ทำการสอบสวนคือร้อยตำรวจตรี ค. ส่วนร้อยตำรวจโท ธ. ทำหน้าที่เป็นล่าม และในการที่ จ. เบิกความต่อศาล ร้อยตำรวจโท ธ. ก็เป็นเพียงล่าม ดังนี้ ร้อยตำรวจโท ธ. จึงเป็นเพียงล่ามที่พนักงานสอบสวน และศาลเป็นผู้จัดหาล่ามให้แก่ จ. และ ม. ตามกฎหมาย แม้ทนายจำเลยได้แถลงคัดค้านเรื่องที่ร้อยตำรวจโท ธ. เป็นล่ามดังกล่าวในวันสืบพยานโจทก์ แต่ทนายจำเลยก็มิได้แสดงเหตุแห่งคำคัดค้านว่าร้อยตำรวจโท ธ. เป็นล่ามแปลไม่ถูกต้องอย่างไร การที่ร้อยตำรวจโท ธ. ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลในชั้นสอบสวนจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังถ้อยคำของพยานที่แปลนั้นเป็นพยานหลักฐานแต่อย่างใด ส่วนการพิจารณาสืบพยานบุคคลปาก จ. ก่อนโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลนั้น ปรากฏว่าร้อยตำรวจโท ธ. ผู้ทำหน้าที่เป็นล่ามได้สาบานตนก่อนแปลคำเบิกความของ จ. ต่อศาลแล้ว การให้การและเบิกความของ จ. ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศและไม่เข้าใจภาษาไทยจึงเป็นการชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 13 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83) จำคุก 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความได้ความว่า ผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่ากับเพื่อนของนางสาวเจมิร่านั่งรับประทานอาหารและดื่มสุราที่ร้านทราฟิค บาร์ ชั้นล่าง ร้านทราฟิค บาร์ มีห้องน้ำเพียงห้องเดียวอยู่ชั้นที่ 2 ผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่าจึงต้องเดินขึ้นไปเข้าห้องน้ำที่อยู่บนชั้นที่ 2 ซึ่งมีคนนั่งรับประทานอาหารอยู่ 1 โต๊ะรวมประมาณ 7 ถึง 8 คน โดยเป็นผู้หญิง 2 คน กลุ่มคนดังกล่าวพูดแซวผู้เสียหายทำนองว่า มีคนรักเป็นฝรั่งแน่หรือ ในเวลาประมาณ 2 นาฬิกา เมื่อร้านปิดการบริการกลุ่มคนที่พูดแซวผู้เสียหายออกจากร้านไปก่อน จากนั้นผู้เสียหาย นางสาวเจมิร่าและเพื่อนก็ออกจากร้านแล้วเพื่อนของนางสาวเจมิร่าขึ้นรถแท็กซี่กลับไป ผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่าเดินไปตามถนนตะนาวผ่านกลุ่มคนที่พูดแซวดังกล่าว กลุ่มคนดังกล่าวพูดแซวว่า “มึงมีแฟนฝรั่งแน่หรือ” ผู้เสียหายไม่อยากมีเรื่องแล้วนึกได้ว่ามีคนรู้จัก ในร้านทราฟิค บาร์ จะขอกลับบ้านด้วยจึงบอกให้นางสาวเจมีร่ายืนรอ จากนั้นผู้เสียหายเดินกลับไปที่ร้านทราฟิค บาร์ และสอบถามถึงคนที่จะขอกลับบ้านด้วย แต่ปรากฏว่าคนดังกล่าวกลับไปแล้ว ผู้เสียหายจึงเดินย้อนจะไปหานางสาวเจมิร่า ขณะเดินผ่านกลุ่มคนที่พูดแซวกลุ่มคนดังกล่าวก็พูดว่า “มีแฟนฝรั่งแน่หรือ” อีก ผู้เสียหายพูดตอบว่า “จะกลับบ้าน” แล้วกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาทำร้ายชกต่อยผู้เสียหาย โดยจำเลยเป็นผู้ใช้ขวดเบียร์ตีที่ใบหน้าข้างซ้ายของผู้เสียหาย จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายมึนงงและล้มลง แล้วผู้หญิงในกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามากระทืบผู้เสียหายซ้ำ หลังเกิดเหตุผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน และโจทก์มีนางสาวเจมิร่าเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนไปที่ร้านทราฟิค บาร์ก่อน ต่อมาผู้เสียหายจึงตามมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เมื่อพยานขึ้นไปเข้าห้องน้ำในร้านชั้นที่ 2 เห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 7 ถึง 8 คน นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้หน้าห้องน้ำ เมื่อร้านดังกล่าวปิดแล้วพยานเดินไปทางสี่แยกคอกวัว โดยผู้เสียหายเดินตามหลังห่างประมาณ 7 ถึง 8 เมตร พยานได้ยินเสียงแก้วแตกจึงหันไปดูและเห็นจำเลยวิ่งข้ามถนนถือขวดเบียร์ด้วยมือขวาเข้าไปตีบริเวณศีรษะของผู้เสียหาย 1 ครั้ง ผู้เสียหายล้มลงแล้วมีกลุ่มวัยรุ่นวิ่งข้ามถนนมารุมทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อพยานวิ่งไปเพื่อช่วยผู้เสียหาย กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวจึงวิ่งหลบหนีไป สักครู่หนึ่งเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุและเข้าจับกุมจำเลยกับพวกซึ่งกำลังจะขึ้นรถแท็กซี่ จากนั้นพยานพาผู้เสียหายไปโรงพยาบาล หลังจากเกิดเหตุประมาณ 2 วัน ผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจโดยพยานไปกับผู้เสียหายด้วย เจ้าพนักงานตำรวจสอบปากคำพยานและให้ดูภาพถ่ายของจำเลย พยานยืนยันว่าจำเลยคือคนร้ายที่ใช้ขวดตีผู้เสียหายตามภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวนหมาย ร.4 นอกจากนี้โจทก์มีร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2549 ขณะพยานปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ผู้เสียหายมาแจ้งความว่า ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายที่บริเวณถนนตะนาวในวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายขอทราบว่าในช่วงเวลาที่เกิดเหตุมีการจับกุมบุคคลใดมาที่สถานีตำรวจหรือไม่ พยานจึงไปค้นบันทึกการจับกุม พบว่าในวันเกิดเหตุมีการจับกุมจำเลยกับพวกในข้อหาเมาสุราประพฤติตนวุ่นวายในที่สาธารณะที่บริเวณถนนตะนาว พยานจึงนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ต้องหาที่ถูกจับดังกล่าวให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายดูแล้วชี้จำเลยตามสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนว่าเป็นคนใช้ขวดเบียร์ตีที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหาย พยานได้สอบปากคำนางสาวเจมิร่าและนายมาร์ค ซึ่งยืนยันภาพถ่ายของจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ใช้ขวดตีศีรษะของผู้เสียหายเป็นพยานโดยบันทึกถ้อยคำไว้ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ ผู้กล่าวโทษหรือพยาน หลังจากนั้นพยานหมายเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหา เมื่อพิจารณาพยานโจทก์ดังกล่าว เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญไม่มีข้อพิรุธ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าบริเวณชั้นที่ 2 ของร้านทราฟิค บาร์ มีคนนั่งรับประทานอาหารอยู่ 1 โต๊ะ รวมประมาณ 7 ถึง 8 คน ซึ่งจำเลยก็นำสืบเจือสมว่าจำเลยและเพื่อนกับผู้หญิงที่ไปด้วยรวมทั้งหมดประมาณ 8 ถึง 9 คน นั่งรับประทานอาหารและดื่มสุราอยู่บนชั้นที่ 2 ของร้านดังกล่าวจนกระทั่งร้านปิด ในเหตุที่ผู้เสียหายกับนางสาวเจมิร่าขึ้นไปเข้าห้องน้ำชั้นที่ 2 นั้นหลายครั้งโดยผู้เสียหายถูกพูดแซวทุกครั้ง ผู้เสียหายย่อมสังเกตมองกลุ่มคนที่พูดแซวดังกล่าว ซึ่งหลังจากร้านดังกล่าวปิดแล้วผู้เสียหายก็ยังเดินผ่านกลุ่มคนที่พูดแซวนั้นอีก 2 ครั้ง ดังนั้น หากจำเลยอยู่ในกลุ่มคนที่ผู้เสียหายเบิกความถึงผู้เสียหายย่อมมีโอกาสสังเกตเห็นจำเลยตั้งแต่อยู่ที่ร้านทราฟิค บาร์ และจำได้ แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แต่ก็ได้ความจากบันทึกการตรวจสถานที่เกิดคดีอาญา ของร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ว่า บริเวณถนนที่เกิดเหตุมีอาคารพาณิชย์ตั้งอยู่สองข้างทาง มีแสงจากหลอดไฟสาธารณะริมถนนทั้งสองข้างส่องสว่างให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะ 15 เมตร ในข้อเท็จจริงที่ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าจำจำเลยได้เนื่องจากจำเลยสวมเสื้อสีขาวและใส่กางเกงยีน ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำสืบต่อสู้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายจดจำจำเลยได้ดังที่เบิกความ สำหรับนางสาวเจมิร่าประจักษ์พยานโจทก์ที่เบิกความว่า จำเลยคือคนร้ายผู้ใช้ขวดเบียร์ตีผู้เสียหายนั้น เป็นพยานที่อยู่ใกล้ชิดในเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก ซึ่งนายสุรชัย พยานจำเลยก็เบิกความว่าในวันเกิดเหตุนายสุรชัยและจำเลยกับพวกถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมบริเวณถนนที่เกิดเหตุในข้อหาเมาสุราประพฤติตนวุ่นวายในที่สาธารณะขณะสุรชัยและจำเลยกับพวกกำลังจะขึ้นรถแท็กซี่ อันเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับคำเบิกความของนางสาวเจมิร่าที่ว่าก่อนที่นางสาวเจมิร่าจะพาผู้เสียหายไปส่งที่โรงพยาบาลเห็นจำเลยกับกลุ่มวัยรุ่นที่รุมทำร้ายผู้เสียหายวิ่งหลบหนีจะไปขึ้นรถแท็กซี่แล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จึงเชื่อว่านางสาวเจมิร่าเห็นเหตุการณ์ขณะผู้เสียหายถูกรุมทำร้ายจริง ประกอบกับตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ผู้กล่าวโทษหรือพยาน ได้ความว่าในช่วงเวลาที่เกิดเหตุนายมาร์คซึ่งเดินกลับจากการทำงานที่ร้านทราฟิค บาร์ ไปตามถนนตะนาวเห็นจำเลยเป็นผู้ใช้ขวดเบียร์ตีหน้าผู้เสียหาย โดยนายมาร์คให้ถ้อยคำเป็นพยานต่อร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ระบุว่าจำเลยคือคนร้ายด้วยการดูสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยจากร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์และให้ถ้อยคำว่าจำได้ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยนั่งอยู่กับพวกที่โต๊ะใกล้ห้องน้ำในร้านชั้นที่ 2 พยานของโจทก์ในส่วนนี้จึงสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่าให้มีน้ำหนักเชื่อถือยิ่งขึ้น รูปคดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่าผู้เสียหายและนางสาวเจมิราจำจำเลยได้ไม่ผิดตัว ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่าเบิกความแตกต่างกัน โดยนางสาวเจมิร่าเบิกความว่า เห็นจำเลยถือขวดเบียร์วิ่งข้ามถนนมาตีศีรษะผู้เสียหาย 1 ครั้ง แล้วกลุ่มวัยรุ่นวิ่งข้ามถนนมารุมทำร้ายผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายเบิกความว่า ก่อนถูกจำเลยใช้ขวดเบียร์ตี กลุ่มของจำเลยเข้ามาทำร้ายผู้เสียหายก่อน จึงเป็นการไม่แน่ชัดว่ากลุ่มคนที่ทำร้ายผู้เสียหายเป็นกลุ่มพวกของจำเลยหรือไม่นั้น เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านได้ความชัดเจนว่า บริเวณถนนที่เดินออกจากร้านทราฟิค บาร์ มามีผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่ากับกลุ่มของจำเลย กลุ่มของจำเลยเป็นพวกที่เข้ามารุมทำร้ายผู้เสียหาย โดยทั้งผู้เสียหายและนางสาวเจมิร่าก็เบิกความตรงกันว่าจำเลยเป็นคนใช้ขวดเบียร์ตีผู้เสียหาย กรณีจึงไม่มีเหตุสงสัยว่ากลุ่มคนที่เข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายเป็นกลุ่มพวกของจำเลยหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า บันทึกคำให้การของนางสาวเจมิร่าและนายมาร์ค ที่ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเดินข้ามมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนนตะนาว และวิ่งเข้าไปใช้ขวดเบียร์ที่ถืออยู่ในมือขวาตีที่ใบหน้าของผู้เสียหาย 1 ครั้งจนขวดแตกและผู้เสียหายล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นก็ได้มีกลุ่มวัยรุ่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายกรูเข้ามาทำร้ายผู้เสียหายจนมีพลเมืองดีเข้ามาช่วยห้ามและพาผู้เสียหายส่งโรงพยาบาล สักครู่หนึ่งก็มีเจ้าพนักงานตำรวจนำกลุ่มวัยรุ่นมาที่สถานีตำรวจชนะสงครามเป็นการให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนเหมือนกันทุกตัวอักษร น่าเชื่อว่าพนักงานสอบสวนสอบพยานเพียงรายเดียวหรือจัดทำคำให้การขึ้นมาเองแล้วนำมาแก้ไขรายละเอียดของพยานแต่ละคนโดยมิได้มีการสอบปากคำพยานแต่ละคนแต่ประการใดนั้น เห็นว่า เมื่อร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์เบิกความตอบโจทก์ขออนุญาตศาลถามว่าร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ได้สอบปากคำนางสาวเจมิร่าและนายมาร์คไว้ตามบันทึกคำให้การ ทนายจำเลยก็ไม่ได้ถามค้านร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์เกี่ยวกับความข้อนี้ไว้แต่อย่างใด ทนายจำเลยเพียงแต่ขออนุญาตศาลถามเกี่ยวกับเรื่องล่ามในการสอบปากคำนางสาวเจมิร่าและนายมาร์คเท่านั้น ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเลยคาดเดาเอาเอง และที่จำเลยฎีกาว่า นางสาวเจมิร่าและนายมาร์คเป็นพยานชาวต่างชาติซึ่งจะต้องมีล่ามแปลที่เป็นคนกลาง แต่ร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ซึ่งถือว่ามีส่วนได้เสียมาเป็นล่ามแปลในชั้นสอบสวน และเป็นล่ามแปลให้นางสาวเจมิร่าเบิกความก่อนฟ้องคดีประกอบ จึงไม่อาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่…พยานไม่สามารถเข้าใจภาษาไทย….และไม่มีล่าม ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการหรือศาลจัดหาล่าม…ให้ถามตอบหรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นที่เห็นสมควร” จากบทบัญญัติดังกล่าวบ่งชี้ว่า “ผู้ที่จะเป็นล่ามจะเป็นบุคคลใดก็ได้ที่มีความสามารถในการเป็นล่ามแต่จะต้องมิใช่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการหรือศาลซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ในการสอบสวนหรือซักถามพยานนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าในการสอบสวนนางสาวเจมิร่าและนายมาร์คตาม ผู้ทำการสอบสวนคือ ร้อยตำรวจตรีคำรณ ส่วนร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ทำหน้าที่เป็นล่าม และในการที่นางเจมิร่าเบิกความต่อศาล ร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ก็เป็นเพียงล่าม ดังนี้ ร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์จึงเป็นเพียงล่ามที่พนักงานสอบสวน (ร้อยตำรวจตรีคำรณ) และศาลเป็นผู้จัดหาล่ามให้แก่นางสาวเจมิร่าและนายมาร์คตามกฎหมายดังกล่าวทั้งในขณะที่นางสาวเจมิร่าเบิกความก่อนฟ้องคดีจำเลยก็ไม่ได้คัดค้าน แม้ทนายจำเลยได้แถลงคัดค้านเรื่องที่ร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์เป็นล่ามดังกล่าวในวันสืบพยานโจทก์ แต่ทนายจำเลยก็มิได้แสดงเหตุแห่งคำคัดค้านว่าร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์เป็นล่ามแปลไม่ถูกต้องอย่างไร การที่ร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลในชั้นสวบสวนจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังถ้อยคำของพยานที่แปลนั้นเป็นพยานหลักฐานแต่อย่างใด ส่วนการพิจารณาสืบพยานบุคคลปากนางสาวเจมิร่าก่อนโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลนั้น ปรากฏว่าร้อยตำรวจโทธีรศักดิ์ผู้ทำหน้าที่เป็นล่ามได้สาบานตนก่อนแปลคำเบิกความของนางสาวเจมิร่าต่อศาลแล้ว การให้การและเบิกความของนางสาวเจมีร่าซึ่งเป็นชาวต่างประเทศและไม่เข้าใจภาษาไทยจึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 วรรคสี่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยนอกนั้นเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย จากข้อวินิจฉัยข้างต้นโดยตลอดพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share