แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างรายวันของจำเลย วันไหนไม่ไปทำงานก็ไม่ได้ค่าจ้าง โจทก์ไม่ได้ไปทำงาน 1 วันโดยลาป่วยเท็จ แต่รับค่าจ้างของวันที่ตน ลาป่วยเท็จนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิจะได้รับ ดังนั้นการกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการลาป่วยเท็จอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนต่อกฎระเบียบและคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และจงใจเป็นเหตุให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหาใช่เป็นการแจ้งเท็จหรือรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาเพียงประการเดียวซึ่งมีโทษตัดค่าจ้างตามระเบียบของจำเลยเท่านั้นไม่ การที่จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานจึงชอบด้วยข้อบังคับที่ให้อำนาจจำเลยไล่ลูกจ้างที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงออกจากงานไปแล้ว มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเมื่อการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงเช่นนี้จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องตักเตือนก่อนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำรายวันต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองลาป่วยเท็จ ซึ่งไม่เป็นความจริง มิได้บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย ทั้งยังเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลย ไม่เคยประกาศหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ทั้งสองเลย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสองลาป่วยเท็จ และได้รับค่าจ้างในวันลาป่วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจกท์ทั้งสองเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างหรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือระเบียบการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างเป็นกรณีร้ายแรง หรือทำประการอื่นอันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำเลยไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างสืบพยานจำเลย จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ทั้งสอง ประเด็นพิพาทข้อนี้จึงเป็นอันระงับไปแล้ว
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองลาป่วยอันเป็นเท็จและได้รับค่าจ้างสำหรับวันที่ลาป่วยไป เป็นการฝ่าฝืนระเบียบฯ จำเลยลงโทษไล่ออกได้โดยมิต้องบอกล่วงหน้าหรือให้ค่าสินไหมทดแทนการเลิกจ้างมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำรายวัน โจทก์ที่ 1 เข้าทำงานเมื่อวันที่26 กุมภาพันธ์ 2525 โจทก์ที่ 2 เข้าทำงานเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม2527 ต่างได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 70 บาท จ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 3 และวันที่ 18 ของเดือน ครั้นวันที่ 12 มกราคม 2529โจทก์ทั้งสองให้พนักงานอื่นช่วยทำบันทึกไปยื่นต่อหัวหน้างานในตอนเช้าแจ้งว่าโจทก์ทั้งสองป่วย ต่อมาเวลาประมาณ 8.00 นาฬิกาโจทก์ทั้งสองร่วมกับพนักงานอื่นประมาณ 30 คนหพากันเดินทางไปบางแสนเพื่อไปประชุมใหญ่สหภาพแรงงานเกรทฟู้ด ซึ่งโจทก์เป็นผู้ร่ามก่อตั้งและเป็นสมาชิก ผลการประชุมได้ลงมติให้โจทก์ที่ 1ในฐานะผู้เริ่มก่อการเป็นประธานสหภาพ และโจทก์ที่ 2 เป็นนายทะเบียนในตอนเช้าวันเดียวกันนั้นปรากฏว่าพนักงานขาดงานไปเป็นจำนวนมากเสียหายแก่งานการผลิต เมื่อจำเลยได้รับบันทึกแจ้งการป่วยของโจทก์ทั้งสองแล้ว จำเลยจึงสั่งให้ฝ่ายบุคคลพร้อมด้วยหัวหน้างานของโจทก์ทั้งสองกับพวกรวม 4 คนไปเยี่ยมโจทก์ที่บ้านของโจทก์ทั้งสอง แต่ไม่พบโจทก์ทั้งสอง ครั้นวันรุ่งขึ้นวันที่ 13 มกราคม 2529 โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ไปทำงานตามปกติพร้อมกับยื่นใบลาป่วยตามเอกสารหมายจ.1 และ จ.3 ตามลำดับ ในวันเดียวกันนั้นเองหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้สอบสวนโจตทก์ทั้งสองเกี่ยวกับการลาป่วย โจทก์ทั้งสองต่างยืนยันว่าป่วยจริงตามใบลา ต่อมาเมื่อถึงกำหนดวันจ่ายค่าจ้างประจำงวดโจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้างสำหรับวันที่ตนลาป่วยนั้นไปด้วยปรากฏตามบัญชีค่าแรงพนักงานรายวันเอกสารหมาย ล.25 ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จแล้วจำเลยจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เอกสารหมาย จ.4และจ.2 ตามลำดับโดยคำสั่งเลิกจ้างได้ระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองทำนองเดียวกันว่า จากการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลโดยกรรมการที่บริษัทแต่งตั้งแล้วผลปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ป่วยจริงตามใบลา ถือได้ว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยจงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหายเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 8.2.7 และถือว่ามีเจตนาทุจริตค่าจ้าง จึงลงโทษไล่โจทก์ทั้งสองออกจากการเป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 6กุมภาพันธ์ 2529 เป็นต้นไปโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองลาป่วยเท็จ และได้รับค่าจ้างในวันที่ลาป่วยไปโดยไม่มีสิทธิ เป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย เป็นความผิดร้ายแรง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำการลาป่วยเท็จเพียงว 1 วัน ไม่ใช่กรณีที่ร้ายแรง ไม่มีเจตนาเอาค่าแรงแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรโจทก์ทั้งสองก็ต้องได้รับค่าจ้างอยู่แล้ว ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 8.1.9ระบุไว้ชัดเจนว่าการลาป่วยเท็จเป็นการกระทำผิดวินัยที่ไม่ร้ายแรงและการลงโทษต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการลงโทษตามข้อ 8.3ลำดับที่ 10 โจทก์ทั้งสองไม่เคยทำความผิดเกี่ยวกับการเท็จมาก่อนจึงต้องลงโทษตัดค่าจ้างเสียก่อน เมื่อโจทก์ทั้งสองทำความผิดไม่ร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองด้วยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ.7ที่ว่าด้วยวินัยและการลงโทษ กำหนดไว้ในหมวดที่ 8 โดยข้อ 8.1 กำหนดการกระทำผิดวินัยไว้ 45 ประการ แม้การแจ้งหรือรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อ 8.1.9 ดังที่โจทก์อุทธรณ์ประการหนึ่งก็ตาม แต่โดยที่โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำรายวันลักษระการจ้างถือเอาการทำงานแต่ละวันเป็นเกณฑ์ในการจ่ายค่าจ้าง วันไหนไม่ได้ทำงานก้ไม่ได้ค่าจ้าง การที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ไปทำงานในวันที่ 12 มกราคม 2529 เพราะลาป่วยเท็จแต่ในวันจ่ายค่าจ้างประจำงวดโจทก์ทั้งสองต่างได้รับค่าจ้างในวันที่ตนลาป่วยเท็จนั้นไปปรากฏตามบัญชีค่าแรงพนักงานรายวันเอกสารหมาย ล.25 ทั้ง ๆที่รู้ว่าตนไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างในวันนั้น จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการลาป่วยเท็จของตนอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 8.1.20 เป็นการกระทำโดยจงใจจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายตามข้อ 8.1.22 และเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท และคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตามข้อ 8.1.15 โดยที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างไม่มีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสองในวันที่ลาป่วยเท็จแต่อย่างใด การจ่ายเงินค่าจ้างดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองไปเช่นนั้นจึงเป็นเหตุให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงมีโทษถึงไล่ออก ตามข้อ 8.2.7 หาใช่เป็นแต่เพียงการแจ้งเท็จหรือรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาตาม ข้อ 8.1.9 อันเป็นการผิดวินัยเพียงประการเดียว และจะต้องถูกลงโทษตัดค่าจ้างตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการลงโทษ ข้อ 8.3 ลำดับที่ 10 เสียก่อนดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ไม่ คำพิพากษาฎีกาที่อ้างมาในอุทธรณ์นั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ดังนั้น การที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างลงโทษไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานจึงชอบด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 8.2.7 ที่ว่าการลงโทษไล่ออกจะกระทำเมื่อพนักงานคนงานได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายจึงเป็นอันตกไปในตัวส่วนที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์อีกประการหนึ่งว่าการกระทำความผิดของโจทก์ทั้งสองไม่ร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้ตักเตือนก่อนไม่ชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครแงแรงงาน ข้อ 47(3) จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสองนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากศาลฎีกาได้วินิจฉัยอุทธรณ์ประการแรกแล้วว่า การกระทำผิดวินัยของโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง อันมีโทษสถานหนักถึงไล่ออกอันเป็นกรณีร้ายแรงแล้วเช่นนี้ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยหาจำต้องตัดเตือนก่อนดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ไม่จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสองที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.