คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10892/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ฉ. ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย จึงทำให้ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 13 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง และศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องจริง จึงจะลงโทษได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง และจำเลยอุทธรณ์ทำนองว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย โดยอ้างว่าจำเลยพยายามใช้จอบทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น เท่ากับอ้างว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง จึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยหรือเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งจะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้น ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 288 และริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี ริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบอาวุธปืนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า นายเฉลียว ผู้เสียหายเป็นบิดาภริยาของจำเลย ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง ขณะที่ผู้เสียหายกับเด็กชายต้น หลานชาย นั่งอยู่ใกล้ลานนวดข้าว จำเลยยิงอาวุธปืนแก๊ปของกลาง 1 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเอง ไม่มีหมายเลขทะเบียนยิงนายเฉลียว ผู้เสียหาย 1 นัด โดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย จึงทำให้ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 13 ปี 4 เดือน จำคุก 33 ปี 4 เดือน หรือจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง และศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องจริงจึงจะลงโทษได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง และจำเลยอุทธรณ์ทำนองว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย โดยอ้างว่าจำเลยพยายามใช้จอบทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น เท่ากับอ้างว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง จึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยหรือเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งจะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน

Share