คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนและนำสืบการวางแผนจับโดยให้เจ้าพนักงานตำรวจปลอมตัวเป็นผู้ซื้อเป็นการสืบตามฟ้องหาเป็นการนอกฟ้องไม่ จำเลยคดีอาญามีสิทธินำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้โดยไม่ต้องซักค้านพยานโจทก์ไว้ก่อนแต่จะรับฟังได้หรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลและไม่มีกฎหมายห้ามรับฟังข้อนำสืบต่อสู้คดีของจำเลยอื่น การจำหน่ายเฮโรอีนเป็นการกระทำผิดกฎหมายมีโทษสูงซึ่งผู้กระทำผิดย่อมปกปิดเป็นความลับถ้าจำเลยที่2และที่3มิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดก็ไม่มีเหตุที่ผู้กระทำผิดจะกล้าให้ร่วมรู้เห็นด้วย พยานโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามหน้าที่และไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุจะปรักปรำใส่ร้ายเมื่อเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นจนจับจำเลยได้จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 13 สิงหาคม 2534 เวลา กลางวัน จำเลยทั้ง สาม ร่วมกัน มี เฮโรอีน อันเป็น ยาเสพติดให้โทษ ชนิด ร้ายแรง ใน ประเภท1 จำนวน 2 ถุง น้ำหนัก รวม 0.697 กิโลกรัม คำนวณ เป็น สาร บริสุทธิ์ได้ 0.624 กิโลกรัม ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ ร่วมกัน จำหน่ายเฮโรอีน ดังกล่าว เป็น เงิน 150,000 บาท โดย ฝ่าฝืน ต่อ กฎหมาย เหตุเกิด ที่ ตำบล บางกระเจ้า อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร เจ้าพนักงาน จับ จำเลย ทั้ง สาม ได้ พร้อม ยึด เฮโรอีน ดังกล่าว และ รถยนต์นั่ง สอง แถว ส่วนบุคคล หมายเลข ทะเบียน 2ห-9888 กรุงเทพมหานครซึ่ง จำเลย ทั้ง สาม ใช้ เป็น ยานพาหนะ ใน การกระทำ ความผิด เป็น ของกลางขอให้ ลงโทษ ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7,15, 66, 102 ประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ริบ เฮโรอีน ที่ เหลือ จาก การ ตรวจ วิเคราะห์และ รถยนต์ ของกลาง
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สาม มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66 วรรคสอง , 102 จำคุกจำเลย ทั้ง สาม ตลอด ชีวิต คำให้การ รับสารภาพ ใน ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวนของ จำเลย ที่ 1 เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษให้ หนึ่ง ใน สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 53 แล้วคง จำคุก จำเลย ที่ 1 มี กำหนด 33 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกา ตรวจ สำนวน ประชุม ปรึกษา แล้ว ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบ ว่าเมื่อ วันที่ 8 สิงหาคม 2534 ร้อยตำรวจเอก คำนวน คล้ายคลึง หัวหน้า ชุด ปราบปราม ยาเสพติดให้โทษ กองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัด สมุทรสาครได้รับ แจ้ง จาก สาย ลับ ว่า มี ผู้ลักลอบ จำหน่าย เฮโรอีน ราย ใหญ่ จึง ให้สาย ลับ ไป ติดต่อ ขอ ซื้อ ต่อมา วันที่ 13 สิงหาคม 2534 เวลา ประมาณ 11นาฬิกา สาย ลับ มา แจ้ง ว่า สามารถ ติดต่อ ได้ แล้ว และ นัด ตกลง ซื้อ ขาย กันที่ ร้าน อาหาร มาดี ตำบล ท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร ร้อยตำรวจเอก คำนวน รายงาน ให้ ผู้บังคับบัญชา ทราบ และ ให้ พลตำรวจ อภิชัย มุทธากาญจน์ ปลอม ตัว เป็น ผู้ซื้อ ไป ตาม นัด ส่วน ร้อยตำรวจเอก คำนวน กับพวก ไป ซุ่ม ดู อยู่ ที่ ริมถนน ฝั่ง ตรงข้าม กับ ร้าน อาหาร มาดี เมื่อ พลตำรวจ อภิชัย ไป ถึง ร้าน ดังกล่าว สาย ลับ แนะนำ ให้ รู้ จัก กับ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 หลังจาก นั้นพลตำรวจ อภิชัย ตกลง ซื้อ เฮโรอีน จาก จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 จำนวน 1 ตัว หรือ หนัก ประมาณ 800 กรัม ใน ราคา 150,000 บาท โดย นัด ส่งมอบกัน ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู ริมถนน ธนบุรี -ปาก ท่อ ตำบล บางกระเจ้า อำเภอ เมือง สมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร ใน เวลา 14.30 นาฬิกา วันเดียว กัน จาก นั้น จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ขับ รถยนต์กระบะ สีแดง หมายเลขทะเบียน 2ห-9888 กรุงเทพมหานคร ซึ่ง มี ชาย อีก 1 คน เป็น คนขับ ออกจาก ร้าน ไป ร้อยตำรวจเอก คำนวน กับพวก กลับ ไป ที่ กอง กำกับ การ ตำรวจ ภูธร จังหวัด สมุทรสาคร แล้ว วางแผน จับกุม โดย เตรียม เงินสด 150,000 บาทให้ พลตำรวจ อภิชัย ไป ล่อ ซื้อ และ ร้อยตำรวจเอก คำนวน กับพวก เดินทาง ไป รอ ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู ก่อน ต่อมา พลตำรวจ อภิชัย เข้า ไป นั่ง รอ ที่ โต๊ะ อาหาร ใน ซุ้ม ใน ร้าน อาหาร ดังกล่าว จน กระทั่ง เวลา ประมาณ 14.30นาฬิกา จำเลย ที่ 3 ขับ รถ คัน ดังกล่าว เข้า มา จอด ใน ลานจอดรถ ของ ร้านอาหาร บ่อ ปู แล้ว จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ลง จาก รถ เดิน เข้า ไป พบ พลตำรวจ อภิชัย พลตำรวจ อภิชัย ให้ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ดู เงิน ที่ เตรียม มา แล้ว จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 พา พลตำรวจ อภิชัย ไป ที่ รถ คัน ดังกล่าว จำเลย ที่ 3 ซึ่ง นั่ง อยู่ ตรง ที่นั่ง คนขับ รถ ได้ ลง จาก รถ แล้ว หยิบ ถุงกระดาษ ออก มาจาก เบาะ หลัง ที่นั่ง คนขับ 1 ถุง นำ ไป วาง ไว้ ที่ เบาะที่นั่ง คนขับ พลตำรวจ อภิชัย เปิด ถุง กระดาษ ดังกล่าว ออก ดู ปรากฏว่า มี เฮโรอีน ผง สี ขาว บรรจุ อยู่ ใน ถุงพลาสติก 2 ถุง พลตำรวจ อภิชัย จำเลย ทั้ง สาม เดิน กลับมา ที่ โต๊ะ อาหาร โดย จำเลย ที่ 3 ถือ ถุง เฮโรอีน มาด้วย แล้ว จำเลย ที่ 3 มอบ เฮโรอีน ให้ พลตำรวจ อภิชัย และ พลตำรวจ อภิชัย มอบ เงิน ให้ จำเลย ที่ 2 ร้อยตำรวจเอก คำนวน กับพวก จึง เข้า จับ จำเลย ทั้ง สาม ได้ พร้อม ยึด เฮโรอีน และ รถยนต์ คัน ดังกล่าว เป็นของกลาง ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน จำเลย ที่ 1 รับ ว่า เป็น เพียงผู้รับจ้าง นำ เฮโรอีน ของกลาง มา ส่งมอบ ส่วน จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3ให้การ ปฏิเสธ ตาม บันทึก การ จับกุม และ บันทึก คำให้การ ผู้ต้องหาเอกสาร หมาย จ. 4 จ. 8 จ. 9 และ จ. 10 เฮโรอีน ของกลาง ตรวจ พิสูจน์แล้ว ปรากฏว่า เป็น เฮโรอีน ไฮโดรคลอไรด์อันเป็น ยาเสพติดให้โทษใน ประเภท 1 คำนวณ เป็น สาร บริสุทธิ์ หนัก 0.624 กิโลกรัม ตามรายงาน การ ตรวจ วิเคราะห์ เอกสาร หมาย จ. 12
จำเลย ที่ 2 นำสืบ ว่า จำเลย ที่ 2 เป็น ผู้จัดการบริษัท ไทยสมุทรประกันภัย จำกัด สาขา สมุทรสาคร วันเกิดเหตุ เวลา ประมาณ 11 นาฬิกา จำเลย ที่ 2 ไป พบ นาง สมเพลิน สำราญ ที่ ร้าน อาหาร มาดี และ รับประทานอาหาร ที่ ร้าน อาหาร ดังกล่าว ขณะ อยู่ ใน ร้าน พบ จำเลย ที่ 1 ได้ พูดจา ทักทาย กัน หลังจาก นั้น จำเลย ที่ 2กลับ ไป สำนักงาน ต่อมา เวลา ประมาณ 14 นาฬิกา จำเลย ที่ 2 กลับ ไปถึง บ้าน พบ จำเลย ที่ 1 รอ อยู่ จำเลย ที่ 1 ชวน จำเลย ที่ 2 ไป รับประทานอาหาร ที่ ร้าน บ่อปู โดย มี จำเลย ที่ 3 เป็น คนขับ รถ เมื่อ ไป ถึง ร้าน อาหาร บ่อปู จำเลย ที่ 3 ไม่ ลง จาก รถ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2ลง ไป นั่ง ใน ร้าน อาหาร บ่อปู ได้ สักพัก หนึ่ง ก็ มี เจ้าพนักงาน ตำรวจ มา จับ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 และ พา ไป ค้นบ้าน จำเลย ที่ 2 แต่ ไม่พบ ของผิด กฎหมาย แต่อย่างใด
จำเลย ที่ 3 นำสืบ ว่า วันเกิดเหตุ จำเลย ที่ 1 จ้าง รถยนต์ ของจำเลย ที่ 3 ไป บรรทุก อวน ที่ ตำบล มหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร ระหว่าง ทาง เป็น เวลา ใกล้ เที่ยง จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3แวะ รับประทานอาหาร ที่ ร้าน บ่อปู ขณะที่ เดิน เข้า ไป ใน ร้าน อาหาร เจ้าพนักงาน ตำรวจ กำลัง จับ ผู้ที่ นั่ง รับประทานอาหาร อยู่ ใน ร้าน จึงได้ จับ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ด้วย จาก นั้น เจ้าพนักงาน ตำรวจ ให้ ลงชื่อใน เอกสาร โดย ไม่ อ่าน ข้อความ และ บังคับ ให้ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3ไป นั่ง ใน ร้าน อาหาร บ่อปู แล้ว ถ่าย รูป ไว้
พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ฟัง ยุติ ตาม คำพิพากษา ศาลล่าง ทั้ง สองว่า ตาม วัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ ตาม ฟ้อง เจ้าพนักงาน ตำรวจ สถานีตำรวจภูธร อำเภอ เมือง สมุทรสาคร จับ จำเลย ทั้ง สาม พร้อม เฮโรอีน ของกลาง คำนวณเป็น สาร บริสุทธิ์ หนัก 0.624 กิโลกรัม ศาลชั้นต้น พิพากษา ลงโทษ จำเลยที่ 1 ฐาน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ จำหน่าย เฮโรอีนของกลาง โจทก์ และ จำเลย ที่ 1 ไม่ อุทธรณ์ คดี สำหรับ จำเลย ที่ 1จึง ยุติ ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น คง มี ปัญหา ตาม ฎีกา ของ จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ร่วม กับ จำเลย ที่ 1 กระทำผิดด้วย หรือไม่ โจทก์ มี ร้อยตำรวจเอก คำนวน คล้ายคลึง นาย ดาบตำรวจ อภิชัย ไชยชำนาญ และ พลตำรวจ อภิชัย มุทธากาญจน์ เบิกความ เป็น พยาน ว่า ร้อยตำรวจเอก คำนวน รับ แจ้ง จาก สาย ลับ ว่า มี ผู้ลักลอบ จำหน่าย เฮโรอีน จึง วางแผน จับ โดย ให้ สาย ลับ ไป ติดต่อ ผู้ขาย ว่า มีผู้ต้อง การ จะซื้อ และ นัด ให้ ผู้ขาย มา เจรจา ตกลง กัน ที่ ร้าน อาหาร มาดี โดย ร้อยตำรวจเอก คำนวน ไป แอบ ซุ่ม ดู ที่ ร้าน อาหาร มาดี พลตำรวจ อภิชัย ปลอม ตัว เข้า ไป ใน ร้าน อาหาร แล้ว สาย ลับ แนะนำ ให้ รู้ จัก กับ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ซึ่ง นั่ง รอ อยู่ ก่อน แล้ว ตกลง ซื้อ ขาย เฮโรอีน 1ตัว หนัก ประมาณ 800 กรัม ราคา 150,000 บาท นัด ส่งมอบ กัน เวลา14.30 นาฬิกา ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู ถนน พระราม 2 (ถนนธนบุรี-ปากท่อ) ตำบล บางกระเจ้า ร้อยตำรวจเอก คำนวน จึง เตรียม เงิน 150,000 บาท ให้ พลตำรวจ อภิชัย แล้ว วางแผน จับ โดย จัด กำลัง เป็น 3 ชุด ชุด แรก ร้อยตำรวจเอก คำนวน กับพวก ไป ซุ่ม ดู อยู่ ใน ร้าน อาหาร บ่อปู ก่อน ชุด ที่ 2 นาย ดาบตำรวจ อภิชัย เป็น คนขับ รถยนต์ ร้าน อาหาร มาดี วันที่ 13 เดือน เดียว กัน เวลา ประมาณ 11 นาฬิกา พลตำรวจ อภิชัย จึง ปลอม ตัว เป็น ผู้ซื้อ เฮโรอีน จาก จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 พลตำรวจ อภิชัย เบิกความ ยืนยัน ว่า จำเลย ที่ 1 บอก ว่า เฮโรอีน 1ตัว จะขาย ราคา 150,000 บาท พลตำรวจ อภิชัย เจรจา ต่อรอง ราคา ขอให้ ลดลง แต่ จำเลย ที่ 2 บอก ว่า ลด ไม่ได้ ออก มา ด้วย ความ ลำบาก ใน ที่สุด พลตำรวจ อภิชัย ตกลง ซื้อ จำเลย ที่ 2 นัด ให้ ไป รับ เฮโรอีน ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู พลตำรวจ อภิชัย ไป รอ ที่ ร้าน อาหาร ก่อน เวลา นัด พลตำรวจ อภิชัย ยืนยัน ต่อไป ว่า ครั้น ถึง เวลา นัด พลตำรวจ อภิชัย ก็ เห็น จำเลย ที่ 3ขับ รถยนต์ คัน เดียว กับ ที่ ขับ ไป ที่ ร้าน อาหาร มาดี จำเลย ที่ 2 ไป กับ จำเลย ที่ 1 ด้วย จำเลย ที่ 2 ได้ เปิด ถุง กระดาษ ที่ ใส่ เงิน จำนวน150,000 บาท ดู พลตำรวจ อภิชัย ถาม ว่า เฮโรอีน อยู่ ที่ ไหน จำเลย ที่ 2ตอบ ว่า อยู่ ใน รถ แล้ว พา ไป ที่ รถ จำเลย ที่ 3 นั่ง อยู่ ที่นั่ง คนขับ เปิดเบาะ ที่นั่ง หยิบ ถุง กระดาษ ออก มา ส่งมอบ ให้ พลตำรวจ อภิชัย เปิด ดู แล้ว พา กัน กลับ เข้า ไป ใน ร้าน อาหาร โดย จำเลย ที่ 3 ถือ ถุง กระดาษ บรรจุ เฮโรอีนไป มอบ ให้ ใน ร้าน อาหาร พลตำรวจ อภิชัย จึง สามารถ รู้เห็น การกระทำ ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อย่าง ใกล้ชิด คำเบิกความ ของ พลตำรวจ อภิชัย จึง มี น้ำหนัก แก่ การ รับฟัง ร้อยตำรวจเอก คำนวน กับ นาย ดาบตำรวจ อภิชัย ก็ เบิกความ ยืนยัน ข้อ นี้ จาก การ วางแผน ล่อ ซื้อ เฮโรอีน ดังกล่าว สามารถ จับ จำเลย ทั้ง สาม ได้ พยานโจทก์ เบิกความ สอดคล้อง เชื่อม โยง กันตั้งแต่ ต้น จน กระทั่ง จับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ได้ และ พยาน เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติการ ไป ตาม หน้าที่ ไม่ปรากฏ ว่า รู้ จัก จำเลย ที่ 2 และที่ 3 มา ก่อน ไม่มี เหตุ ที่ จะ เบิกความ ปรักปรำ ใส่ ร้าย จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 ให้ ต้อง รับโทษ โดย ปราศจาก มูล ความจริง คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ จึง มี น้ำหนัก อันควร แก่ การ รับฟัง ที่ จำเลย ที่ 2 อ้างว่าวันเกิดเหตุ ไป รับประทาน ที่ ร้าน อาหาร มาดี พบ จำเลย ที่ 1 ทักทาย กัน แล้ว จำเลย ที่ 2 ก็ กลับ บ้าน นั้น ข้อ นำสืบ ดังกล่าว แสดง ให้ เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ รู้ จัก คุ้นเคย กับ จำเลย ที่ 1 แต่ หลังจาก จำเลย ที่ 2รับประทานอาหาร กลางวัน เสร็จ ประมาณ 2 ชั่วโมง จำเลย ที่ 1 กลับไป ชวน จำเลย ที่ 2 ไป รับประทานอาหาร ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู อีก ทั้ง ๆ ที่ ไม่ใช่ เวลา รับประทานอาหาร และ เป็น การ ขัด ด้วย เหตุผล ส่วน จำเลยที่ 3 อ้างว่า จำเลย ที่ 1 จ้าง ให้ จำเลย ที่ 3 ขับ รถบรรทุก อวน เวลาใกล้ เที่ยง จึง แวะ รับประทานอาหาร กลางวัน ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู เมื่อ เดิน เข้า ไป ใน ร้าน อาหาร ก็ ถูกจับ แสดง ว่า จำเลย ที่ 3 ถูกจับ เวลาประมาณ 12 นาฬิกา แต่ จำเลย ที่ 3 กลับ นำสืบ เวลา ประมาณ 14 นาฬิกากลับ ถึง บ้าน พบ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 มา รอ อยู่ ที่ บ้าน ชวน จำเลย ที่ 2ไป รับประทานอาหาร ที่ ร้าน อาหาร บ่อปู แล้ว ถูกจับ ชี้ ให้ เห็นว่า จำเลย ทั้ง สาม ถูกจับ หลัง เวลา 14 นาฬิกา แล้ว ข้อ นำสืบ ของ จำเลย ที่ 2 และที่ 3 จึง ขัด กัน เป็น พิรุธ ไม่มี น้ำหนัก ที่ จะ หักล้าง พยานโจทก์พยานหลักฐาน โจทก์ ที่ นำสืบ ฟังได้ ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ร่วม ไป ที่เกิดเหตุ กับ จำเลย ที่ 1 โดย จำเลย ที่ 2 ร่วม เจรจา ต่อรอง ราคา และ มีอำนาจใน การ ตกลง ราคา จำเลย ที่ 3 เป็น คนขับ รถ พา จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2ไป ทำการ ซื้อ ขาย เฮโรอีน และ เป็น คน หยิบ เฮโรอีน ของกลาง จาก ที่ ซ่อนหลัง เบาะ รถ ถือ ไป ส่งมอบ ให้ แก่ ผู้ซื้อ การ จำหน่าย เฮโรอีน เป็น การกระทำผิด กฎหมาย มี โทษสูง ตาม ธรรมดา ผู้กระทำผิด ย่อม จะ ต้อง ปกปิดเป็น ความลับ ถ้า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 มิได้ มี ส่วน รู้เห็น ใน การกระทำผิด แล้ว ก็ ไม่มี เหตุ อัน ใด ที่ ผู้กระทำ ความผิด จะ กล้า ให้ จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 ร่วม รู้เห็น ด้วย พฤติการณ์ ฟังได้ ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3ร่วม เป็น ตัวการ มี เฮโรอีน อันเป็น ยาเสพติดให้โทษ ไว้ ใน ครอบครองเพื่อ จำหน่าย และ จำหน่าย เฮโรอีน ของกลาง ตาม ฟ้อง ที่ จำเลย ที่ 2ฎีกา ว่า จำเลย ที่ 2 นำ นาย มาโนช ทรัพย์มูล สาย ลับ มา สืบ ฟังได้ ว่า จำเลย ที่ 2 ไม่ได้ รู้เห็นเป็นใจ กับ จำเลย อื่น นั้น เห็นว่า คดีอาญาจำเลย มีสิทธิ นำพยาน เข้าสืบ พิสูจน์ ความ บริสุทธิ์ ของ จำเลย ได้ โดยซักค้าน พยานโจทก์ ใน ข้อเท็จจริง ที่ จำเลย จะ ต้อง นำสืบ ต่อไป ไว้ ก็ ได้แต่ คำเบิกความ ของ พยาน ดังกล่าว จะ รับฟัง ได้ หรือไม่ เป็น ดุลพินิจใน การ รับฟัง พยานหลักฐาน ของ ศาล ส่วน ที่ จำเลย ที่ 2 ฎีกา ว่าโจทก์ นำสืบ นอกฟ้อง นอกประเด็น นั้น เห็นว่า โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ทั้ง สามร่วมกัน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ จำหน่าย เฮโรอีน และนำสืบ การ วางแผน จับ โดย ให้ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ปลอม ตัว เป็น ผู้ซื้อ เป็น การนำสืบ ตาม ประเด็น ที่ ฟ้อง หา เป็น การ นอกฟ้อง นอกประเด็น แต่อย่างใด ไม่ที่ จำเลย ที่ 3 ฎีกา ว่า ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 รับฟัง คำเบิกความ ของ จำเลยที่ 2 มา วินิจฉัย เป็น โทษ แก่ จำเลย ที่ 3 ไม่ชอบ นั้น เห็นว่า การ รับฟังข้อ นำสืบ ต่อสู้ คดี ของ จำเลย อื่น ไม่มี กฎหมาย ห้าม ไว้ และ กรณี คดี นี้จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อยู่ ใน เหตุการณ์ ด้วยกัน แต่ นำสืบ ต่อสู้ คดีขัดแย้ง กัน จะ ฟัง เป็น แน่นอน อย่างไร ก็ ไม่ ถนัด ข้อ นำสืบ ของ จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 จึง ไม่มี น้ำหนัก ที่ จะ รับฟัง หักล้าง พยานโจทก์ ส่วน ที่ จำเลยที่ 3 ฎีกา ขอให้ ลงโทษ สถาน เบา นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ได้ ลงโทษขั้นต่ำ ตาม ที่ กฎหมาย กำหนด แล้ว ศาลฎีกา ไม่อาจ ลงโทษ จำเลย ที่ 3สถาน เบากว่า นี้ ได้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษา ชอบแล้ว ฎีกา ของจำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share