คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1847/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2524 จำเลยได้ทำสัญญาเบิกเงิน เกินบัญชีจากบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ ในวงเงิน 1,500,000 บาทมีกำหนดเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีแล้วจำเลยได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินออกจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนบัญชีกับโจทก์เป็นการเดินสะพัดในบัญชีเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 14 ธันวาคม 2526จึงไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไป หลังจากนั้นแม้จำเลยนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้ง แต่ก็เป็นการชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์ จึงถือได้ว่าได้มีการเลิกบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2526อันเป็นวันครบกำหนดการต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครั้งที่ 2 สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาที่มีลักษณะพิเศษคือช่วงระยะเวลาที่คู่สัญญายังเดินสะพัดทางบัญชีกันอยู่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในอัตราที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแม้จะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 กำหนดไว้ แต่เมื่อมีการเลิกสัญญากันแล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น และมีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นตามอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จสิ้นได้เท่านั้น เพราะถือเป็นกรณีที่ถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาแต่ต้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยอัตราสูงสุดที่พึงเรียกเก็บตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอีกไม่ได้ เว้นโจทก์จะขอให้จำเลย ชำระดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน20,670,522.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้ไถ่ถอนทรัพย์จำนอง หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ และไม่ไถ่ถอนจำนอง ก็ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดที่ 8967, 8968, 8969, 8970, 8971 ตำบลปากแพรกอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดที่ 1353, 3782, 3002 ตำบลชะมาย อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองไว้ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 5,522,540.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2526 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2527อัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 1มกราคม 2529 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2529ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5มีนาคม 2529 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2533 อัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 19 มีนาคม 2533 ถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2533อัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2533ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2533 อัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2533 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2534 อัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2534 ถึงวันที่ 11กรกฎาคม 2534 อัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม2534 ถึงวันที่ 11 กันยายน 2534 และอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับแต่วันที่ 12 กันยายน 2534 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ให้หักเงินจำนวน 13,926,849.94 บาทซึ่งจำเลยชำระแล้วออก หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้และไม่ไถ่ถอนทรัพย์จำนอง ก็ให้ยึดที่ดินโฉนดที่ 8967, 8968,8969, 8970, 8971 ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างและยึดที่ดินโฉนดที่ 1353, 3782, 3002 ตำบลชะมาย อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 5,522,540.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยแบบทบต้นอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2526 ถึงวันที่ 14ธันวาคม 2526 และดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2526 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2527จากนั้นให้ชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นต่อไปในอัตราดอกเบี้ยสำหรับแต่ละระยะเวลาตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา เว้นแต่ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้คิดในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ทั้งนี้ให้หักเงินที่จำเลยที่ 1ชำระแก่โจทก์แล้ว จำนวน 6,276,774.94 บาท ออกจากต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระออกก่อน โดยให้หักเงินจำนวน 50,000 บาท160,678.71 บาท 331,938.48 บาท 1,469,380.76 บาท26,249.99 บาท 150,000 บาท 100,000 บาท และ 3,988,527 บาทออกจากยอดเงินที่ค้างชำระในวันที่ 20 เมษายน 2530, 27 เมษายน2530, 1 มีนาคม 2533, 2 พฤษภาคม 2533, 15 พฤษภาคม 2533,7 มิถุนายน 2533, 18 ตุลาคม 2533 และ 21 สิงหาคม 2535ตามลำดับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2524 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 666 กับโจทก์ ในวงเงิน 1,500,000 บาท มีกำหนดเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญาตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.1 มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังนำที่ดินจำนวน 8 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.9 นับตั้งแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินออกจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนบัญชีกับโจทก์เป็นการเดินสะพัดในบัญชีเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 14 ธันวาคม 2526 จึงไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปหลังจากนั้นแม้จำเลยที่ 1 จะนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งก็เป็นการชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์จึงถือได้ว่าได้มีการเลิกบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2526 อันเป็นวันครบกำหนดการต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครั้งที่ 2
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าจะคิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 29 ตุลาคม 2536)เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จในอัตราเท่าใด เห็นว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาที่มีลักษณะพิเศษ คือ ช่วงระยะเวลาที่คู่สัญญายังเดินสะพัดทางบัญชีกันอยู่ โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในอัตราที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แม้จะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 กำหนดไว้ แต่เมื่อมีการเลิกสัญญากันแล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น และมีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นตามอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จสิ้นได้เท่านั้นเพราะถือเป็นกรณีที่ถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาแต่ต้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยอัตราสูงสุดที่พึงเรียกเก็บตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอีกไม่ได้ ซึ่งตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 2 จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี สำหรับจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีดังนั้นหลังจากวันที่ 14 ธันวาคม 2526 โจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ ยกเว้นโจทก์จะขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่านี้ สำหรับหนี้ของจำเลยถึงวันที่ 14 ธันวาคม2526 เป็นเงิน 5,522,540.12 บาท ตามเอกสารหมาย จ.13หลังจากนี้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นเท่านั้น
พิพากษายืน

Share