คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18460/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 โจทก์เป็นบุตรเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งถึงแก่ความตายแล้วฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว พอจะแปลความหมายได้ว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากเจ้าของที่ดินพิพาท และครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะขอให้คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 266/2550 ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11409 ตำบลในเมือง (โพธิ์กลาง) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้จำเลยส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดิน
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การ และฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและขับไล่โจทก์และบริวารห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวและรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งมาชำระเพิ่มเติม แต่จำเลยไม่ดำเนินการภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้งและจำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ห้ามโจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวรบกวนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11409 ตำบลในเมือง (โพธิ์กลาง) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาห้ามโจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวรบกวนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 266/2550 หรือไม่ ซึ่งพอจะแปลความหมายได้ว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2551 โจทก์ทราบจากทนายความของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ว่าที่ดินพิพาทติดจำนองอยู่ที่ธนาคาร จำเลยมาอ้างสิทธิว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว โจทก์มอบหมายให้ทนายความตรวจสอบจึงทราบเรื่องที่จำเลยมายื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท โจทก์และบรรดาพี่น้องของโจทก์ไม่มีผู้ใดทราบเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างมารดาของโจทก์กับจำเลยซึ่งไม่มีเอกสารการซื้อขายกันแต่อย่างใด มารดาของโจทก์ให้นายทองสุขอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2512 และมีผู้อาศัยอื่น คือนางเครือ บ้านพักเดิมของมารดาโจทก์อยู่ห่างที่ดินพิพาทประมาณ 50 เมตร นางสมหญิง น้องสาวของโจทก์ก็เบิกความว่า นางอัมพรมารดาของพยานไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลใด หากมีการซื้อขายจริงก็จะมีสัญญาซื้อขาย แต่พยานไม่เคยเห็นสัญญาดังกล่าว พยานปากนี้ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานเพียงทราบว่ามารดาของพยานถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยทราบเมื่อทนายความของธนาคารมาบอก ส่วนที่ดินแปลงอื่นๆ มารดาของพยานขายไปหมดแล้ว บ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทพยานไม่ทราบรายละเอียดว่าจะสร้างและแบ่งให้บุคคลอื่นเช่าอาศัยอยู่ด้วยหรือไม่ จากคำเบิกความพยานโจทก์ดังกล่าวมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าทั้งตัวโจทก์และนางสมหญิงต่างไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาก่อนเลย คำเบิกความที่กล่าวอ้างว่านางอัมพรไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้จำเลยก็ดี นางอัมพรให้นายทองสุขและจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทก็ดี ล้วนเป็นเรื่องที่ตัวโจทก์และนางสมหญิงคิดเอาเอง จึงมีน้ำหนักน้อยที่จะรับฟัง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่มีสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและไม่มีหลักฐานการชำระเงินมาแสดง จำเลยอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2512 แต่เพิ่งมาร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เมื่อปี 2549 มีข้อพิรุธ และจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้อาศัยนั้น ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความยืนยันว่า นายทองสุข ได้จำเลยเป็นภริยาคนที่ 2 เมื่อปี 2512 จึงซื้อที่ดินพิพาทจากนางอัมพรเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยในราคา 50,000 บาท มีการชำระราคาครบถ้วน แต่ไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายเนื่องจากที่ดินพิพาทติดจำนองธนาคาร นางอัมพรจะนำเงิน 50,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนตามที่ระบุในสัญญาจำนองไปไถ่ถอนจำนองให้ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเกิดดอกเบี้ยจำนวนมาก เมื่อซื้อที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยได้เลี้ยงหมูบนที่ดินพิพาทหลายปี แล้วปลูกสร้างตึกสองชั้น 3 คูหา ก่อนบุตรชายของจำเลยจะเกิด ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 266/2550 ของศาลชั้นต้น จำเลยมีบุตรที่เกิดจากนายทองสุข 1 คน ชื่อนายกิติศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2519 ตามสำเนา สูติบัตร จำเลยดำเนินการตั้งสถานบริการอาบอบนวด นางอัมพรไม่เคยมาไล่หรือฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดินพิพาท ไม่เคยมายุ่งเกี่ยว ไม่มีการเรียกร้องค่าเช่าหรือเก็บเงินกินเปล่าจากจำเลย จำเลยจดทะเบียนสมรสกับนายทองสุข ตามใบสำคัญการสมรส นายทองสุข เคยซื้อที่ดินจากนางอัมพร 1 แปลง เนื้อที่ 95 ตารางวา ใส่ชื่อนางเครือ ภริยาคนแรกเป็นเจ้าของเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2506 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินดังกล่าวอยู่ทางทิศใต้ติดกับที่ดินพิพาท นายศรีนาถ พยานจำเลยเบิกความว่า รู้จักกับจำเลยและนายทองสุขตั้งแต่ปี 2515 นายทองสุขเปิดสถานบริการอาบอบนวดใช้ชื่อว่า ลาสเต็ลล่า อาบอบนวด โดยสถานบริการอยู่ด้านหน้า ส่วนที่ดินพิพาทจะอยู่ติดกันบนที่ดินพิพาทสร้างเป็นอาคารตึกสองชั้น แบ่งเป็นห้องให้คนที่มาเที่ยวใช้บริการ จำเลยมีหน้าที่เชียร์แขกและเก็บเงินค่าบริการ คำเบิกความของพยานจำเลยดังกล่าวมีเหตุผลสอดคล้องกัน เมื่อพิจารณาประกอบภาพถ่ายตึกสองชั้น 3 คูหาที่ปลูกสร้างบนที่ดินพิพาท ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 266/2550 แล้ว มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรงสร้างมานาน เจือสมตรงกับที่จำเลยนำสืบ เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ก็มีการส่งหมายนัดสำเนาคำร้องให้นายสมชาติ ทายาทผู้มีชื่อในโฉนดที่ดิน ปรากฏว่าส่งได้โดยวิธีปิดหมายโดยพบภูมิลำเนาตามหมายปิดอยู่ สอบถามบุคคลบ้านข้างเคียง เป็นหญิงอายุประมาณ 35 ปี แจ้งว่าทายาทผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินออกไปทำธุระข้างนอก ไม่ทราบกำหนดเวลากลับที่แน่นอน ผู้ส่งหมายคือนายเสริมพงศ์ เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรม 4 จึงปิดหมาย นอกจากนี้ยังมีการส่งหมายนัดสำเนาคำร้องให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้รับจำนอง เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ยึดทรัพย์ และมีการปิดประกาศศาลชั้นต้นเรื่องคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ตามระเบียบแล้ว ปรากฏว่าไม่มีผู้คัดค้าน โจทก์เองก็เบิกความรับว่า นายสมชาติเป็นพี่ชายของโจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังเดียวกับนางอัมพร การไต่สวนคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของศาลชั้นต้นจึงเป็นไปโดยชอบทุกประการ พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากนางอัมพร และครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะขอให้คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 266/2550 ไม่ผูกพันโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share