คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2970/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง และคดีไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ โจทก์จำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองมาแต่แรก ดังนี้ การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 และเมื่อคดีมีปัญหาวินิจฉัยเพียงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องขาดอายุความหรือไม่ การจะวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวจะต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่มีอยู่ครบถ้วนตามที่คู่ความนำสืบให้เป็นที่ยุติเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ นายแดง ปานกระโทก นายเจริญ ถนนทะเลและนางเล็ก หอมอุบลรักษ์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 305 ตำบลท่าอ่างอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวาปี 2519 นายแดง นายเจริญ และนางเล็กขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ครอบครองที่ดินทั้งแปลงแต่เพียงผู้เดียวตลอดมาจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนายเล็ก กลางปี 2532จำเลยที่ 1 ได้เข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อที่ประมาณ 50 ตาราวา ปี 2533จำเลยที่ 2 เข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา โจทก์ห้ามปรามจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่เชื่อฟัง วันที่ 20มีนาคม 2534 นางสุดใจ บุญชู ในฐานะทายาทของนายแดง นายเจริญและนางเล็กได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้จดทะเบียนแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องเมื่อวันที่ 8มีนาคม 2536 โดยเห็นว่านายแดง นายเจริญและนางเล็กขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ คดีถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2537 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ดินที่จำเลยทั้งสองบุกรุก หากโจทก์ให้บุคคลอื่นเช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 500 บาท คิดเป็นค่าเสียหายสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 24,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปีเศษเป็นเงิน 18,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 24,000 บาทจำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางเล็ก หอมอุบลรักษ์นายเจริญ ถนนทะเล และนายแดง ปานกระโทกไม่เคยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 305 ส่วนของตนให้แก่โจทก์ ปี 2532 นางเล็กยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนของนางเล็กด้านทิศตะวันออกตลอดแนวเนื้อที่ประมาณ 286 ตารางวาให้แก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงได้เข้าไปปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้ง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง ฟ้องโจทก์เรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 และโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องร้อง ตามมาตรา 1374, 1375 ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำให้การวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองโดยข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติว่า ที่ดินพิพาทโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและโจทก์เสียหายอย่างไร เป็นการไม่ชอบ ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ นายแดงปานกระโทก นายเจริญ ถนนทะเล และนางเล็ก หอมอุบลรักษ์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อมานายแดง นายเจริญและนางเล็กขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์โจทก์จึงได้ครอบครองที่ดินทั้งแปลงแต่เพียงผู้เดียว จำเลยทั้งสองเข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินของโจทก์บางส่วน ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การว่านางเล็ก นายเจริญ และนายแดงไม่เคยขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งสองครอบครองเป็นของจำเลยทั้งสองโดยได้รับการยกให้จากนางเล็ก โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง ฟ้องโจทก์เรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดขาดอายุความ และโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองแย่งการครอบครองดังนี้ คดีไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ โดยจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองมาแต่แรกเมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 246 เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ247 คดีจึงมีปัญหาวินิจฉัยเพียงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องขาดอายุความหรือไม่ การที่จะวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวจะต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่อยู่ครบถ้วนตามที่คู่ความนำสืบให้เป็นที่ยุติเสียก่อนศาลชั้นต้นไม่สมควรสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share