แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 45,46 และประกาศของกรมแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2518 ข้อ 1 กำหนดว่า”ในสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่ง ให้เลือกตั้งกรรมการลูกจ้างได้หนึ่งคณะ เว้นแต่สถานประกอบกิจการนั้นมีหน่วยงานหรือสาขาในจังหวัดอื่น ลูกจ้างในสถานประกอบการเช่นว่านั้นอาจตกลงกันเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างขึ้นจังหวัดละคณะได้” ดังนั้น แม้สหภาพแรงงาน อ.จะได้ตั้งคณะกรรมการลูกจ้างจำนวน 21 คน สำหรับโรงงานของจำเลยที่จังหวัดชลบุรีแล้ว ทางสหภาพฯ ย่อมมีสิทธิที่จะตั้งคณะกรรมการลูกจ้างจำนวน 13 คน สำหรับโรงงานจำเลยที่จังหวัดนครราชสีมาได้อีกโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมายตามการแต่งตั้งในครั้งหลังนี้ จำเลยไม่มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 52.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานทั่วไป อัตราค่าจ้างเดือนละ 2,640 บาท และค่าครอบชีพ 200 บาท และโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างด้วย ต่อมาวันที่30 ตุลาคม 2534 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้ขออนุญาตศาลตามกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยบรรจุโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเท่าเดิมและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างตั้งแต่วันที่สั่งให้ออกจากงานจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 568 บาท และนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยบรรจุโจทก์กลับเข้าทำงาน
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเมื่อวันที่ 6 กันยายน2534 โจทก์ละทิ้งหน้าที่ในระหว่างเวลาทำงาน อันเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลย โจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกล่าวคือ จำเลยมีลูกจ้างประมาณ 3,500 คน และมีสถานประกอบกิจการ2 แห่ง คือที่จังหวัดชลบุรีและที่จังหวัดนครราชสีมา ลูกจ้างของจำเลยมีสิทธิแต่งตั้งคณะกรรมการลูกจ้างได้เพียงคณะเดียวและต้องมีจำนวนกรรมการลูกจ้างตั้งแต่ 17 ถึง 21 คน แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการลูกจ้างคณะแรกได้รับการแต่งตั้งจากสหภาพแรงงานโอเรียนประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2534 มีคณะกรรมการจำนวน 21 คน คณะกรรมการลูกจ้างคณะที่สองได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2534มีจำนวนกรรมการ 13 คน จึงเป็นการตั้งเกินกว่ากฎหมายการตั้งกรรมการลูกจ้างมิได้เกิดจากการเลือกตั้ง และสหภาพดังกล่าวมีสมาชิกไม่เกินกึ่งหนึ่งของลูกจ้างทั้งหมด เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่กรรมการลูกจ้าง จำเลยไม่ต้องรับผิดความเสียหายที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยมีโรงงานอยู่สองแห่ง แต่ก็ถือว่าเป็นสถานประกอบกิจการแห่งเดียวกัน การตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการของจำเลย จึงตั้งได้เพียงคณะเดียวและมีจำนวนไม่เกิน 21 คน การตั้งโจทก์เป็นคณะกรรมการลูกจ้างเพิ่มขึ้นมาอีกทำให้คณะกรรมการลูกจ้างมีจำนวนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดโจทก์จึงมิใช่กรรมการลูกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ละทิ้งหน้าที่ จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 45 วรรคแรก บัญญัติว่า ในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ห้าสิบคนขึ้นไป ลูกจ้างอาจจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการนั้นได้ และประกาศกรมแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ฉบับลงวันที่16 พฤษภาคม 2518 ข้อ 1 กำหนดว่า “ในสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่งให้เลือกตั้งกรรมการลูกจ้างได้หนึ่งคณะเว้นแต่สถานประกอบกิจการนั้นมีหน่วยงานหรือสาขาในจังหวัดอื่น ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการเช่นว่านั้นอาจตกลงกันเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างขึ้นจังหวัดละคณะได้ จำนวนกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการหรือในหน่วยงานหรือสาขาในแต่ละจังหวัด ให้กำหนดโดยถือหลักเกณฑ์ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518″ ฉะนั้น แม้สหภาพแรงงานโอเรียนประเทศไทยจะได้ตั้งคณะกรรมการลูกจ้างจำนวน 21 คน สำหรับโรงงานของจำเลยที่จังหวัดชลบุรีตามเอกสารหมาย ล.2 แล้ว ทางสหภาพฯย่อมมีสิทธิที่จะตั้งคณะกรรมการลูกจ้างจำนวน 13 คน สำหรับโรงงานของจำเลยที่จังหวัดนครราชสีมาตามเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.3 ได้อีกโจทก์จึงเป็นกรรมการลูกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมายตามการแต่งตั้งในครั้งหลังนี้จำเลยไม่มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเท่าเดิม และให้จ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างตั้งแต่วันที่สั่งให้โจทก์ออกจากงานถึงวันฟ้องเป็นเงิน 568 บาทและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม.