คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตึกของโจทก์และจำเลยอยู่ห่างกัน 2 เมตร 50 เซนติเมตรช่องว่างระหว่างตึกเป็นที่ดินของจำเลย จำเลยจึงชอบที่จะใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยได้ การที่ฝาผนังตึกของโจทก์ชิดกับเขตที่ดินของจำเลยนี้ โจทก์ย่อมคาดหมายได้ว่าฝาผนังตึกของโจทก์ต้องมีสภาพเป็นกำแพงรั้วกั้นเขตที่ดินโจทก์และจำเลย เป็นธรรมดาที่การวางสิ่งของของจำเลยในที่ดินของจำเลยอาจจะไปติดกับฝาผนังตึกของโจทก์ได้ การที่จำเลยใช้ประโยชน์จากฝาผนังตึกนี้โดยไม่ปรากฏว่าทำให้โจทก์เสียหายประการใด จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์
เมื่อฝาผนังตึกของโจทก์สูงกว่าอาคารของจำเลย จึงเป็นธรรมดาที่น้ำฝนจากหลังคาและฝาผนังตึกของโจทก์ย่อมจะไหลลงไปสู่ทรัพย์สินของจำเลย ทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายโจทก์จะต้องจัดการป้องกันหรือแก้ไข แต่โจทก์มิได้จัดการฉะนั้น การที่จำเลยพอกปูนซีเมนต์เชื่อมหลังคาของจำเลยกับผนังตึกของโจทก์จึงเป็นการป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่จำเลย หาใช่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ประการใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ต่อเติมหลังคาโรงเรือนของจำเลยทั้งสองมาชิดฝาผนังตึกของโจทก์ด้านที่อยู่ติดกับอาคารของจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองใช้ผนังตึกของโจทก์ร่วมกับโจทก์ โดยเก็บสินค้าในห้องที่ใช้ฝาผนังตึกของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งสองใช้ฝาผนังตึกของโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวครอบครองอาคารที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ตึกโจทก์ปลูกชิดกับเขตที่ดิน น้ำฝนไหลเข้าในอาคารของจำเลยที่ 2 ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เอาซีเมนต์พอกระหว่างฝาผนังตึกของโจทก์กับชายคาสังกะสีของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการละเมิด โจทก์ต่ออาคารสูงขึ้นอีกเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ศาลชั้นต้นไปเดินเผชิญสืบแล้ว และจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นเจ้าของอาคารร่วมกัน เห็นว่าข้อเท็จจริงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว จึงให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองใช้ผนังตึกของโจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามรายงานการเดินเผชิญสืบตึกพิพาทของศาลว่า ตึกของโจทก์และจำเลยอยู่ห่างกัน 2 เมตร 50 เซนติเมตรช่องว่างระหว่างตึกเป็นที่ดินของจำเลยใช้เป็นที่เก็บวัสดุก่อสร้างต่างๆ เช่น เหล็กเส้น ไม้ กระเบื้อง ปูนซีเมนต์ และปูนขาว โดยวางกองสุมติดกับฝาผนังตึกของโจทก์ ตึกของโจทก์สูงกว่าตึกของจำเลย 1 ชั้น ที่หลังคาตรงติดกับผนังตึกของโจทก์จำเลยได้เอาปูนซีเมนต์พอกไว้กันไม่ให้น้ำฝนไหลลงมาข้างล่างตรงที่เก็บของของจำเลย

คดีมีปัญหาว่า การที่จำเลยเก็บของในที่ดินของจำเลยโดยมีฝาผนังตึกของโจทก์อยู่ข้าง ๆ จะเป็นการใช้ฝาผนังตึกของโจทก์โดยละเมิดสิทธิหรือไม่และการที่จำเลยต่อชายคาไปจดฝาผนังตึกของโจทก์และพอกปูนซีเมนต์ต่อกับฝาผนังตึกเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่

ปัญหาแรกพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ดินส่วนที่อยู่ชิดฝาผนังตึกของโจทก์เป็นที่ดินของจำเลย จึงชอบที่จำเลยจะใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยได้การที่ฝาผนังตึกของโจทก์ชิดกับเขตที่ดินของจำเลยเช่นนี้ โจทก์ย่อมคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าฝาผนังตึกของโจทก์ต้องมีสภาพเป็นกำแพงรั้วกั้นเขตที่ดินของโจทก์และจำเลยจึงเป็นธรรมดาที่การวางสิ่งของของจำเลยในที่ดินของจำเลยจะไปติดกับฝาผนังตึกของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาใช้ฝาผนังตึกของโจทก์เป็นที่วางสิ่งของแต่อย่างใด และเมื่อฝาผนังตึกของโจทก์มีสภาพเป็นกำแพงรั้วหรือฝาผนังห้องเก็บของ ของจำเลยอยู่ในตัวเช่นนี้ การห้ามจำเลยไม่ให้ได้รับประโยชน์จากฝาผนังย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งการวางสิ่งของชิดฝาผนังตึกของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เสียหายประการใด ฉะนั้น ข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยใช้ผนังตึกของโจทก์ เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จึงรับฟังไม่ได้

ปัญหาต่อไปตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าการที่จำเลยทำหลังคาไปชนฝาผนังตึกของโจทก์ และพอกปูนซีเมนต์ที่ริมชายคากับฝาผนังเป็นการละเมิดนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อฝาผนังตึกของโจทก์สูงกว่าอาคารของจำเลยจึงเป็นธรรมดาที่น้ำฝนจากหลังคาและฝาผนังตึกของโจทก์ย่อมจะไหล่ลงไปสู่ทรัพย์สินของจำเลยที่อยู่ข้างล่างติดต่อกัน ทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย และเห็นว่าเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องป้องกันหรือแก้ไข แต่โจทก์ก็มิได้จัดการแก้ไข ฉะนั้นการที่จำเลยพอกปูนซีเมนต์เชื่อมหลังคาของจำเลยกับผนังตึกของโจทก์ จึงเป็นการป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่อยู่ติดต่อกับอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ หาใช่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ประการใดไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง

พิพากษายืน

Share